วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เจ้าว่างามใยจะต้องตามเจ้า

ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องตามเจ้า ใครใดเล่าจะไม่งามตามเสด็จ. 
จำไว้ทุกสิ่งจริงหรือเท็จ      พริกไทยเม็ดนิดเดียวเคี้ยวยังร้อน
อิศรญาณภาษิต


ข้าพเจ้าได้ชมวิดีโอ “เสียดินแดน ๑๔ ครั้ง” ซึ่งนำมาฉายซ้ำซาก ตั้งแต่สมัยข้าพเจ้ายังวัยใกล้ตายน้อยมายังใกล้ตายมากขึ้น คือ มันถูกฉายซ้ำมา ผลิตวาทะกรรม “เสียดินแดน”ซ้ำไปมา จนข้าพเจ้ารู้สึกเอียน วิดีโอชุดนี้แทบจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยนอกจากจะขยายให้เราเห็นว่า ในอดีตดินแดนของเรานั้นไม่ใช่เล็กๆแบบนี้แต่เป็นถึงขั้น “มหาอาณาจักรไทย” (คนที่เอาเรื่องนี้มาลวงคนไทยให้(หลง)คือ หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร สามารถหาอ่านได้ในงานวิจัย ของ ศ.ดร.สายชล สัตยานุรักษ์) เรื่องประเทศสยาม(ขอเรียกชื่อประเทศแห่งนี้ดังเดิมว่า “สยาม” เพราะ ข้าพเจ้าไม่ยอมรับกับคำว่า “ไทย”)  เรื่องเสียดินแดน นั้นเราต้องเข้าใจว่า เขตแดนในอดีตไม่มีการตีตราแน่ชัด จะมีตีตราก็ในสมัยก่อนๆนั้น เราไม่มีแผนที่เลย ในเขตแดนนั้นๆก็มีการผสมหลากเชื่อพันธุ์ แก่งแย่งตีกัน สลับเจ้าเมืองเจ้าแผ่นดิน ของประเทศนั้นๆ จะไปหาอย่างตายตัวว่าของใคร? นั้นไม่ได้ คนที่ทำแผนที่ให้เราก็เป็น ชาวตะวันตก (แล้วพวกคลั่งชาติไทย ก็ยอมรับตามแผนที่พวกฝรั่งว่าเราเสียดินแดน ๑๔ครั้ง ผมว่ามัน ตรรกะวิปลาส) อีกนัยหนึ่ง เจ้ากรุงเทพฯ ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ๆด้วย อย่าบอกว่าเราเสียอย่างเปล่าๆ แล้วทำซึ้ง ดราม่า มันเป็นการแสดงออกโดยไม่สมประกอบแต่อย่างใด สยามก็เป็นจักรวรรดิเหมือนๆกัน เป็นคนล่าอาณานิคมเหมือนกัน รัฐบาลสยามโอนอ่อนให้ตามความต้องการ เพราะที่จริงฝ่ายชนชั้นปกครองยามก็ได้ประโยชน์จากการขายทรัพยากรแก่มหาอำนาจอยู่ด้วย(เช่น ป่าไม้ให้ทั้งค่าสัมปทานและอำนาจเหนือรัฐท้องถิ่น) การสถาปนาอำนาจชาตินิยมที่เราได้รับมานั้น เป็นการรับรู้ของคนเพียง ๑๐๐ กว่าปีนี้เท่านั้นเอง (โดยเริ่มแต่เสด็จพ่อร.๕) เป็นต้น ซึ่งได้รวมศูนย์อำนาจมาส่วนกลาง เหมือนลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งในระยะเวลาหลังจากนั้น ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจ ก็ได้ปรากฏชัดออกมาเรื่อยๆ และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สยามแต่ก่อนต้องการไพร่พลมากกว่าที่ดิน ถ้าเราดูอย่างตอนอภิวัฒน์สยาม ๒๔๗๕ ประชาชนมีประมาณเพียง ๑๑ ล้านคน (และถ้าย้อนไปในสมัยเสด็จพ่อร.๕ ก็น่าจะประมาณ ๗-๘ ล้านคน) โดยถ้าย้อนกลับไปถึง ร.๑ ที่อ้างว่าเสียดินแดนประชาชนในเวลานั้นจะมีน้อยขนาดไหน แล้วจะเอาที่ดินมากมายไปทำอะไร ในสายตาเจ้ากรุงเทพฯแล้ว ประชาชนจำนวนพลตะหากเป็นการแสดงถึงอำนาจบารมี ที่ดินส่วนใหญ่จึงรกร้าง ดินแดนสำหรับเจ้ากรุงเทพฯแล้วแทบไม่มีประโยชน์อันใดเลย แต่เราก็รับความคิดที่ผิดๆ ยิ่งประชาชนสมัยก่อนๆนั้นถ้าพิจารณาตามประวัติศาสตร์ สมัยเสด็จพ่อร.๕ ไม่มีออกมาประท้วงเรียกร้องดินแดนที่เสียคืนเลย ๑๓ ครั้งน่ะ (๑๔ รวมเขาพระวิหาร อันโกหกตอแหลหน้าด้านๆ) นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า ประชาชนสมัยนั้นซึ่งน่าจะมีความรักชาติมากกว่าคนสมัยนี้(คนสมัยนี้มักเอาคนเมื่อก่อนเป็นโมเดล เช่น อ่าน “สี่แผ่นดิน” แล้วคลั่งอยากย้อนยุค) แต่คนสมัยก่อนๆ กลับไม่ออกมาประท้วงแต่อย่างใด จะมีประท้วงก็ในสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งได้แสดงออกถึงการใช้ระบอบฟาสซิสต์มาปกครอง และเปลี่ยนชื่อ สยาม มาเป็น ไทย แสดงให้เห็นว่า ประชาชนสยาม ไม่มีความรับรู้เรื่อง “เสียดินแดน” แต่ที่เรารู้ๆและเชื่อๆ เป็นความคิดของเจ้ากรุงเทพแทบทั้งสิ้น แล้วคุณจะคลั่งอะไรกัน?

การสอนประวัติศาสตร์ที่เป็นอันตราย

แม้กระนั้นโรงเรียนและสถาบันต่างๆ ก็ยังสอนเรื่อง “เสียดินแดน ๑๔ ครั้ง” ประกอบไปด้วยเพลงชาตินิยมต่างๆ ซึ่งเพลงเหล่านั้นเป็นมรดกของยุคจอมพลป.พิบูลสงคราม (เป็นที่ยอมรับในทางวิชาการด้วยว่า จอมพลป. ขัดแย้งกับ กษัตริย์ไทย อย่างรุนแรง) การสอนที่ให้คิดว่าชาติตนยิ่งใหญ่นั้น สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่านั้นเป็นการอาการทางจิตของคนไทย(ส่วนหนึ่ง) ซึ่งเชื่อไปด้วยก็อยู่ในวิสัยนี้คือ มีปมด้อย ด้วยความจริงชาติไทยไม่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด แต่ตนก็พยายามเชื่อ เครื่องดนตรีไทยที่หนึ่งของโลก(ตราไว้ด้วยว่า เครื่องดนตรีต่างๆเป็นสมบัติร่วมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) อาหารอร่อยที่สุดในโลก(นี้คือพวกดักดานโดยแท้จริง ไม่เคยชิมอาหารอะไรเลย แล้วโปรดตราไว้ด้วยว่าส่วนประกอบต่างๆในการทำอาหาร นั้น ก็ใช้ว่าจะไทยแท้ โปรดพิจารณาด้วย) อาการเหล่านี้ที่ ดราม่า แสดงออกมา ไม่ได้มีสาระความจริงอย่างใด แต่หลงตัวเองไป ผู้จะมาว่าผู้เขียนว่าไม่มีสติ(โปรดพิจารณาด้วยว่าตนมีสติและสัมปชัญญะในการรับรู้ แยะแยะหรือเปล่า?)  เมื่อสอนประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบนี้ ผู้เรียน-ผู้ฟัง แน่นอนว่าต้องมีอาการ “RACISM” คือ เกิดการคลั่งในชาติ ในสีผิว ชาติพันธุ์ และดูถูกประเทศเพื่อนบ้าน แต่โปรดพิจารณาดีๆนะ ประเทศที่เราเกลียดนะ วัฒนธรรมของพวกเขายังไม่แปลงกายเหมือนวัฒนธรรมเราเลยที่หันไปหาฝรั่ง (แล้วบอกอย่างดัดจริตว่า เราไทยแท้ ถ้าไทยแท้จริง คุณก็นุ่งโจงกระเบนมา(ก็ไม่ใช่ของไทยอีกหล่ะ) ไม่ต้องใช้คอมฯ โน๊ตบุ๊ก เพราะมันของฝรั่ง) แหม! เดี๋ยวนี้บางทีการเรียน-การสอน ยังต้องใช้ภาษาอังกฤษเลย (ไม่ได้ Irony ใครน่ะ ขอเขียนทับศัพท์เพราะไม่ใช่คนไทยคลั่งชาติ) ไทยนี้แลตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งกว่าประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสียอีก พม่า ถอดรองเท้าเข้าวัดยังไม่ได้เลย เพราะเขาเคารพพระพุทธ ยำเกรง ไทยไม่มีเลย ลาว เขาเป็นคอมมิวนิสต์(ปลอม)มาแล้ว แต่ยังผูกติดกับวัฒนธรรมดังเดิม แต่เราเจ๊งหมด นางนพมาศ(มีจริงๆสมัย ร.๓ ไม่ใช่ในสมัยสุโขทัย!) เราไว้ให้ใครดูหล่ะ เป้าหมายหลักคือ “ฝรั่ง”ให้ชื่มชมวัฒนธรรมไทยอันดีงาม นี้ไม่เรียกว่าปมด้อยแล้วเรียกว่าอะไร?  การสอนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม เสียดินแดน เสียเขาพระวิหาร มีโทษมากกว่าคุณ จะเข้าประชาคมอาเซียนเสรีแล้ว แต่ยังดั้นด้นสอนให้เกลียดเพื่อนบ้าน เหมือน ๖ ตุลา ๒๕๑๙ พวกโดนปลูกฝังให้คลั่งชาติมากๆ ก็เห็นพวกนักศึกษาไม่ใช่ “พวกฉัน” แต่เป็น “ญวณ” สมัยนั้นญวณเป็นคอมมิวนิสต์ มันจะล้มล้างสถาบันฯ ต้องฆ่ามันให้หมด เป็นญวณเสียหายอะไรไหม? และมันก็ปรากฏว่าไม่จริง แต่เราไม่เอาข้อหานั้นแล้ว แต่เปลี่ยน ข้าพเจ้าเขียนแบบนี้อาจจะโดนหาว่า “ไม่รักชาติ” นี้คือปัญหาสังคมไทย ให้คิดเหมือนๆกัน ของสิ่งใดเจ้าว่างามต้องงามตามเจ้า สติปัญญาเท่ากับทารกไร้เดียงสา คนมีตั้ง ๗๐ ล้านให้ทุกคนคิดเหมือนกัน ไม่ฟังความเห็น มาถกเถียง เอาแต่จับ ทำทัณฑ์ ไล่ออกนอกประเทศ (มึงไม่ใช่คนไทย) แล้วจะไม่บอกว่าพวกนี้สติปัญญาเท่ากับเด็กทารกได้อย่างไร? ไม่ว่าใครก็ตามที่สอนเยาวชนหรือหลอกลวงประชาชน ก็ควรจะรับผิดชอบกับที่ตนสั่งสอนเขา และพวกไม่หลงเชื่อ ก็อย่านิ่งเฉย ควรเผยแพร่ทัศนะที่ถูกต้อง อย่าให้รุนแรงไปมากกว่านี้ ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น ก็เพราะมีอาการคลั่งแบบนี้แล คลั่งชาติว่าตนประเสริฐสุด ถ้านิ่งเฉยนี้ก็ เลวร้ายมากเลยทีเดียว ขอเอาคำของไอสไตน์มาเตือนสติ(โปรดหารูป ๖ ตุลา ๒๕๑๙ และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว เป็นตัวอย่าง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระบบการศึกษาไทย ไม่เอ่ยอย่างลึกซึ้งถึงความเหี้ย ของฮิตเลอร์เอาเลย ขอใช้คำว่า “เหี้ย”เลย เพราะฮิตเลอร์นั้นเลวร้ายอย่างสุดๆ ไม่ขอพรรณนาความชั่วของมัน) ไอสไตน์กล่าวว่า

"โลกนี้เต็มไปด้วยอันตรายมิใช่เพราะมีคนทำสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นเพราะมีคนยืนดูเฉยๆ และปล่อยให้มีการทำสิ่งชั่วร้าย"


เมื่อสงฆ์ไม่เป็นสงฆ์ สอนธรรมะไม่สอน แต่สอนให้ “คลั่งชาติ”

ขอวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์อย่างตรงไปตรงมา ในฐานะคนที่มาต้นทุนทางสังคมสูง คำพูดมีคนเชื่อถือมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่านรกจะกินกะบาล (ถ้าเราเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นเหตุ-ผล ย่อมวิพากษ์สิ่งที่ไร้เหตุ-ผลได้ สิ่งที่วิปลาสได้) เดี๋ยวนี้การสอนธรรมะ นิมนต์พระมาเทศ พระส่วนน้อยบางส่วนที่เคยพบมาและได้ยินมา มักจะเทศนาเอา “เสียดินแดน”ไปด้วย มันไม่ใช่หน้าที่สงฆ์เลน จะมาก่อเกิดความแตกแยกทางสังคม โดยไม่มีจุดยืนในทางศาสนาพุทธ ซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นนัก “มนุษย์นิยม” พรหมวิหาร๔ พื้นฐานของศาสนาพุทธ ไม่มีสอนให้คลั่งชาติ คนที่ถือพุทธ รวมถึงสงฆ์ด้วยควรสำเหนียกเป็นอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธนั้นมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่ตอนนี้สอนให้คลั่ง สอนให้เกลียดเพื่อนบ้าน ขอให้พระตรวจสอบตนด้วยว่าตนทำผิด จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ในพุทธศาสนาด้วย ว่าตนวิปลาสไปหรือเปล่า?

บทความที่นำมาประกอบและอ้างอิง

ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล , มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบัน
---------------------------เสียดินแดนเป็นประวัติศาสตร์หลอกไพร่ไปตายแทน           
                                                                           
ศ.ดร.นิธิ  เอียวศรีวงศ์ , มรดกของใคร?                                                                                                                                        
ศ.ดร.สายชล สัตยานุรักษ์ , ชาติไทย และ ความเป็นไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการ  
                                                                          
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปาฐกถาสองแผ่นดิน: พุทธศาสนากับแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา  
               

ตีพิมพ์ลงใน สาร Ntw ฉบับที่ ๓
ธันวาคม ๒๕๕๔

ปัจฉิมลิขิต: บทความนี้เขียนสมัยข้าพเจ้าอยู่มัธยมปีที่ ๓ หมาดๆ นับว่าขาดตกบกพร่องมาก ผู้ที่ข้าพเจ้าอ้างอิง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ศึกษางานของเขาอย่างจัดเจนหรือเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งหมด ท่านผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณและสืบค้นหาความจริงด้วยตนเอง