วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เนติวิทย์และพวก ถูกจับข้อหาใช้รถดัดแปลง ขณะเดินขบวนไปศธ.

วันนี้(25 ต.ค.) มีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิตได้จับกลุ่มแนวร่วมนักเรียนนักศึกษาผลักดันปฏิรูปการศึกษาไทยประมาณ 30 คน นำโดยเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยได้มีการแจ้งข้อหาใช้รถดัดแปลง ซึ่งทั้งหมดโดนปรับรวม 500 บาทและได้รับการปล่อยตัวแล้ว
10472005353_0959544ff4
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มแนวร่วมดังกล่าวเดินขบวนเพื่อไปกระทรวงศึกษาธิการเพื่อยื่นหนังสือการเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษาให้มีความเป็นธรรม รวมถึงจัดสว้สดิการการศึกษาในแบบรัฐสวัสดิการ และยกเลิกกฎระเบียบทางการศึกษาที่โบราณขัดหลักสิทธิเสรีภาพต่างๆ
ด้านนายปิยรัฐ จงเทพ หนึ่งในนักศึกษาที่ถูกจับเผยว่า ตำรวจมีความพยายามแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ความมั่งคงด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเรียกร้อของแนวร่วมฯ ไม่มีประเด็นทางการเมืองจึงยอมไม่เอาความ แต่ทางกลุ่มตนเตรียมแจ้งความกลับตำรวจในข้อหาใช้รถไม่ติดทะเบียน
ภาพจากเฟซบุ๊ก ‘Decharut Sukkumnoed

จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระที่จะเลือกวิถีชีวิตของเขาเถิด

ท่านผู้ใหญ่ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้มานานพอแล้ว 
และท่านก็มีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะอยู่ต่อไป
พวกเด็กๆ พวกเยาวชนรุ่นหนุ่มสาว 
เขามีเวลาข้างหน้าอันยาวนานที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป
เพราะฉะนั้นก็เป็นการชอบธรรมอย่างยิ่ง
ที่เขาควรจะมีความคิดเห็น ในการจัดแจง
ประชาคมและโลกให้เป็นที่ผาสุข
ตามรสนิยมและทัศนะของเขา
ยิ่งกว่าบุคคลที่ใกล้จะอำลาโลกไปแล้วมิใช่หรือ

จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระที่จะเลือกวิถีชีวิตของเขาเถิด
แต่ปล่อยหรือไม่ปล่อยก็เท่ากัน
เพราะเขาคงแสวงหามันจนได้.
--------------------------
กุหลาบ สายประดิษฐ์ "ศรีบูรพา"
จากบทความ "มองนักศึกษา ม.ธ.ก.ด้วยแว่นขาว"
วารสารธรรมจักร ของสโมสรนักศึกษา
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2495

จากทรงนักเรียน ถึงข้อเสนอยกเลิกความเป็นไทย

"เนติวิทย์" ผู้แหย่รังแตน "ความเป็นไทย"

"เนติวิทย์" ผู้แหย่รังแตน "ความเป็นไทย"

เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติการศึกษาไทย ถูกสื่อบางหัว นำคำพูดบางตอนในรายการ The Daily Dose ไปสร้างกระแสความเกลียดชัง ล่าแม่มดจนดังกระฉ่อนทั่วอินเทอร์เน็ตมาตลอดทั้งสัปดาห์ ล่าสุด "น้องแฟร้งค์" ตอบกลับด้วยบทความ "ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย" ซ้ำอีกดอก จนเกิดอาการดิ้นกันอีกรอบ!


นาย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หรือน้องแฟร้งค์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาซึ่งเป็นเลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย โพสต์แชร์ เฟซบุ๊กเป็นบทความเรื่อง "ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย" เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา (โพสต์เดิมตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ) เพื่อตอกย้ำแนวคิดที่ได้เคยแชร์กับ ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ The Daily Dose ทางวอยซ์ทีวี เรื่องปัญหาในระบบการศึกษาไทยมาแล้ว โดยบทความนี้ตั้งคำถามกับสังคมว่า "ความเป็นไทยคืออะไร"

"ในสุดท้ายแม้เราจะไม่รู้หรอกว่าความเป็นไทยคืออะไร ถามครู ถามนักเรียน ถามใครๆหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ แต่เราก็ยังยินดีอุทิศตัวให้กับนามธรรมแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าเป็นของดี เพราะถ้าคุณถาม อำนาจของพวกเขาก็สั่นคลอน ความเป็นไทยที่ครอบงำสมอง ทรงผม เครื่องแบบ จากหัวจรดตีน ก็จะพินาศไป ผมอยากให้เราไปพ้นความเป็นไทย ที่มี ย ซึ่งความเป็นไทยแบบนี้คือความเป็นทาสที่ไม่ต้องล่ามโซ่พันธนาการก็ยินดีกับความเป็นทาส ฉีกกรอบไปหาความเป็นไท ที่อิสรเสรี แล้วคิดว่านักเรียนเวลานี้ก็ตื่นตัวกันมากแล้วที่จะเป็นไท " - เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล (ที่มา เฟซบุ๊ก : Netiwit Ntw )

 คลิกอ่านบทความ : "ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย" ฉบับเต็มที่นี่ http://on.fb.me/19OEWUB

ในบทความนี้ เนติวิทย์ "วิเคราะห์" ต้นตอของ "ความเป็นไทย" ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน โดยเฉพาะจากหลักสูตรการศึกษาวิชาสังคมศึกษา หมวดประวัติศาสตร์ที่สั่งสมให้เกิดความเชื่อในอดีตของประเทศไทยในด้านที่ถูกบอกให้เชื่อเท่านั้น และยังได้กล่าวอย่างสิ้นหวังอีกว่าการศึกษาอดีตความเป็นไทยในการศึกษาในระบบโรงเรียนปัจจุบันเป็นเรื่องจอมปลอม ไม่ได้เอื้อให้คนที่อยากศึกษาอย่างลึกซึ้งสามารถพึ่งพาตำราเรียน "ในโรงเรียน" ได้เลย

แน่นอนว่าคิดแบบนี้ พูดแบบนี้ เป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของคนที่เชื่อที่ถูกบอกให้เชื่อมาโดยตลอด กระแสตีกลับเรื่องนี้ในหมู่คนไม่เห็นด้วยจึงแรงมาก

อ.เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์คอมเมนต์กระแส'เน็ตของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับ น้องแฟร้งค์  เป็นบทความสั้นๆ เรื่อง ทำไมจึงเดือดร้อนดิ้นรนพราด ๆ ๆ กันนักเมื่อมีใครคิดยกเลิก "ความเป็นไทย"? 

"คุณไปเขย่าหรือยกเลิก "ความเป็นไทย" ก็เท่ากับคุณไปเขย่าหรือยกเลิกตัวตนทางวัฒนธรรมหรือคำนิยามตัวเองทางวัฒนธรรมของพวกเขานั่นเอง คนชั้นกลางไทยทั้งหลายย่อม "ยัวะ" และ "สั่นเป็นเจ้าเข้า" เป็นธรรมดา"
คลิกอ่านบทความ : ทำไมจึงเดือดร้อนดิ้นรนพราด ๆ ๆ กันนักเมื่อมีใครคิดยกเลิก "ความเป็นไทย"?  ที่นี่ : http://on.fb.me/1b4NF36
 
การแสดงออกนอกความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาจากโรงเรียนของเนติวิทย์ ยังได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของ "นักเลง(เกรียน)คีย์บอร์ด" ในคราบสื่อมวลชน ที่โหมสร้างกระแสให้เกิดความเกลียดชังกับ "นักเรียนคิดเป็น" แบบไม่เป็นธรรม มิพักพูดถึง แฟนเพจแก็งค์อันธพาลบนเฟซบุ๊ก ที่นำ "เยาวชน" ไปละเลงสี ป้ายความเลวให้เสร็จสรรพจนก่อให้เกิดเมฆทะมึนแห่งความเกลียดชังบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทั้งนักเรียนด้วยกัน ไปจนถึง "ผู้ใหญ่ ผมดำ ผมหงอก" จนบางความเห็นมัน "เกินเลย" ต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยกัน


ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์การเมืองบนเว็บไซต์ประชาไท และวอยซ์ทีวี ก็แชร์ข่าวที่สื่อเจ้าหนึ่งยังเกาะติดกระแส "เนติวิทย์ฟีเวอร์" ไม่เลิกบนเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/baitongpost

เนติวิทย์บอกว่า "ทำไมจองเวรจุงเบย"
โห ก็จะไปทุบกะลาที่ครอบโลกของคนพวกนี้ไว้


สำหรับผู้เขียนและเรียบเรียงประเด็นเรื่องนี้  ข้อหาที่บอกว่า " เนติวิทย์" ไม่มีสัมมาคารวะ หยาบกระด้าง ไม่น่ารัก ได้คืบจะเอาศอก ไม่มีความเป็นไทย ที่ "สื่อเจ้าหนึ่งและอันธพาลบนเฟซบุ๊ก" พยายามให้คนคล้อยตามไปแบบนั้น  ผมว่ามัน "ฟังไม่ขึ้น" ด้วยประการทั้งปวง  ในเมื่อคนที่คิดต่างจากเขาและบอกว่ารู้ซึ้งเรื่องความเป็นไทยเป็นอย่างยิ่ง พากันประเคน ฟักแฟงแตงโม แจกกล้วย แจกของชำร่วย สัตว์นานาชนิดและ สารพัดวาจาที่อุดมไปด้วยความคิดหมกมุ่นในเรื่องต่ำทรามในจิตใจ ผ่านการกระแทกแป้นคีย์บอร์ดคอมเมนต์ในเว็บไซต์ และ เฟซบุ๊กของอันธพาลในคราบสื่อกลุ่มนี้ ตามที่สื่อดังกล่าวตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินเนติวิทย์ไปเรียบร้อย..ผมว่าน้องเขามารยาทดีกว่าคนพวกนั้นเยอะเลย

อย่างไรก็ตาม การถกเถียงอย่างสร้างสรรค์แบบมีเหตุผลก็เป็นเรื่องจำเป็นและสวยงามในระบอบประชาธิปไตย และไม่ใช่ทุกคนต้องเห็นด้วยกับ เนติวิทย์ หรือ เพื่อนๆในกลุ่มสมาพันธ์ฯ เพราะแม้แต่ "คุณปลื้ม" ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ The Daily Dose ต้นเรื่องของการพูดคุยกับนักเรียนเรื่องปัญหาการศึกษาเอง ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่น้องแฟร้งค์พูดทุกอย่าง  และเปรียบเทียบว่าเป็นความคิดแบบเดียวกันกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งต้องระวังไม่ให้ความคิดเรื่องการทลายขนบ มาปะปนกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะมันคนละเรื่องกัน

"มันเป็นเรื่องเดียวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้กระแสนี้จะถูกปลุกขึ้นมา แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะว่าการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ เพื่อรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่มีอยู่ พลิก กลับตาลปัตร..ให้เป็นตรงกันข้าม ผมไม่เห็นว่าสังคมไทยต้องเปลี่ยนขนาดนั้น" - ม.ล. ณัฎฐกรณ์ เทวกุล จากรายการ The Daily Dose

คลิกชมรายการ The Daily Dose ประจำวันที่ 2 กรกฎาคม ที่นี่  



“เนติวิทย์ “ขยี้ระบบการศึกษา “วันไหว้ครู




“เนติวิทย์ “ขยี้ระบบการศึกษา “วันไหว้ครู”หมอบคลานเข้าไปเหมือนสิงสาราสัตว์ ต้องยกเลิกความเป็น”ไทย”
  ผู้เขียน: พ่อเลี้ยงคำสิงค์
1 ก.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และบรรณาธิการ นิตยสารปาจารย์สาร ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า Netiwit Ntw โดยโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา แสดงความเห็นภายใต้เรื่องว่า ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย โดยเขียนถึงระบบการศึกษา เนื้อหาสาระ และเรื่องการเรียนการสอน

นายเนติวิทย์ โพสต์ตอนหนึ่งว่า ระบบโซตัส เป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศแห่งนี้ ความคิดการจัดวางลำดับชั้นต่ำสูง ระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์ ครู – นักเรียน แบบพ้นยุคพ้นสมัย จึงเป็นสิ่งสำคัญ นักเรียนก็ไม่เท่าเทียมกับครู ปัญหาการโต้เถียงถกเถียงครูอาจารย์ในสังคมไทยบางทีก็เป็นเรื่องรับไม่ได้ นักเรียนคิดแย้งก็มีน้อยและส่วนมากไม่กล้า เพราะสภาพที่กดดันและอำนาจนิยม

แม้ครูกับครูเองก็มีปัญหา คือผู้บริหารคิดว่าตัวเองวิเศษ สูงส่งกว่าครูธรรมดา ครูก็มีหน้าที่รับฟัง เชื่อฟัง ขัดแย้งไม่ได้ แม้มีคนขัดแย้งก็หาพวกรวมกลุ่มกันได้ยาก เพราะครูเองก็เคยเป็นนักเรียนถูกหลอมผ่านระบบการศึกษาที่เห็นระบบอาวุโส เป็นของดี วันไหว้ครูก็ต้องหมอบคลานเข้าไปเหมือนสิงสาราสัตว์ แล้วก็อ้างว่า เป็นของไทย น้ำตาจะไหลเพราะซึ้งจัด

ในเรื่องของเนื้อหาสาระนั้น เน้นไปเฉพาะวิชาสังคมศึกษา หมวดประวัติศาสตร์ เราแคบมาก เน้นการท่องจำจนเกินไป แบบไม่มีความสุข ไม่ให้ศึกษาวิเคราะห์ ซ้ำร้ายที่สุดคือชุดความคิดที่พวกเขาสร้างประดิษฐ์กรรมขึ้นมา ซึ่งซึมเข้าสู่สังคมจนสังคมเป็นแบบที่เราเห็น ไม่มีการเรียนการสอน การศึกษาอดีตของเราจึงเป็นของปลอม ไม่ให้คนมีความลึกซึ้ง คนที่อยากจะเรียนรู้จึงหวังพึ่งตำราเรียนไม่ได้

นักเรียนส่วนมากถูกปลูกฝังเรื่องชาตินิยม ปลุกฝังเรื่องของการเสียดินแดน 14 ครั้ง ทั้งที่ดินแดนเหล่านั้นไม่ใช่ของไทยจริงๆ อาการเหยียดเพื่อนบ้านก็ย่อมมี แสดงว่าเราจะเข้าประชาคมอาเซียนแบบดูถูกเพื่อนบ้าน ไม่เป็นเรื่องที่ฉลาดเลย พวก 14 ตุลา หรือ 6 ตุลาคม เราได้บทเรียนอะไรไม่มี ประวัติศาสตร์ของเราที่สอนๆกัน เน้นไปเมื่อ 100 – 700 ปีที่แล้ว ดังนั้นคนในประเทศเราไม่แปลกที่มีความคิดแบบ หนึ่งร้อยปีก่อน ก็ไม่แปลกที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักนายปรีดี พนมยงค์ นายป๋วย อึ้งภากรณ์

นายเนติวิทย์ โพสต์ในเรื่องการสอนว่า มี 2 แบบ คือ 1.สอนให้โง่ กับ 2.สอนให้ฉลาด เวลานี้ดูเหมือนสอนให้โง่ ถ้าสอนให้ฉลาดต้องสอนให้มีการตั้งคำถาม ตรวจสอบกับอดีตซึ่งมีผลกับปัจจุบันทั้งนั้น เหตุใด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ไม่มี การสอนแบบนี้คือสอนให้โง่

“สุดท้ายแม้เราจะไม่รู้หรอกว่าความเป็นไทยคืออะไร ถามครู ถามนักเรียน ถามใครๆ หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ แต่เราก็ยังยินดีอุทิศตัวให้กับนามธรรมแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าเป็นของดี เพราะถ้าคุณถาม อำนาจของพวกเขาก็สั่นคลอน ความเป็นไทยที่ครอบงำสมอง ทรงผม เครื่องแบบ จากหัวจรดตีน ก็จะพินาศไป ผมอยากให้เราไปพ้นความเป็นไทย ซึ่งความเป็นไทยแบบนี้คือความเป็นทาสที่ไม่ต้องล่ามโซ่พันธนาการก็ยินดีกับ ความเป็นทาส ฉีกกรอบไปหาความเป็นไท ที่อิสรเสรี แล้วคิดว่านักเรียนเวลานี้ก็ตื่นตัวกันมากแล้วที่จะเป็นไท”

ข้อความที่นายเนติวิทย์โพสต์ลงเฟซบุ๊ค     https://www.facebook.com/pages/Netiwit-Ntw/144948172233316      

..ไหว้ครูก็ต้องหมอบคลานเข้าไปเหมือนสิงสาราสัตว์ ..ไอ้เด็กคนนี้คงไม่เคยหมอบคานไหว้พ่อแม่ คงยืนค้ำหัว เห็นว่าหมอบคลานเป็นสิงสาราสัตว์ เนรคุณ อกตัญญู และสุดท้าย ทรพี..ชาติไม่ต้องการเด็กแบบนี้หรอก..และคงได้เกิดเป็นสิงสาราลัตว์แน่นอน..และชาตินี้คงไม่มีที่เรียนในประเทศไทย ..เนติวิทย์ น่าจะยื่นหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทย ขอลาออกจากการเป็นคนไทย แล้วรีบเก็บเสื้อผ้า ไปอยู่บ้านเก่าซัวเถา หรือ ที่ชอบ ที่ชอบ เลยมึง......

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล: จากทรงนักเรียน ถึงข้อเสนอยกเลิกความเป็นไทย



สนทนากับ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และบรรณาธิการนิตยสารปาจารยสาร
หลังจากก่อนหน้านี้ "สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย" ได้รณรงค์ให้มีการยกเลิกทรงนักเรียน และต่อมากระทรวงศึกษาธิการยอมปรนด้วยการออกระเบียบกฎกระทรวงฉบับใหม่ และมีหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัดให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรง และนักเรียนหญิงไว้ผมยาวได้ ทันทีที่เปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2556 แต่ล่าสุด เนติวิทย์บอกว่า ได้รับการร้องเรียนว่ายังพบโรงเรียนหลายร้อยแห่งที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม (ข่าวที่เกี่ยวข้อง 
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวด้วยว่าทางสมาพันธ์นักเรียนไทยฯ จะเรียกร้องให้มีการยกเลิกทรงนักเรียนต่อไป รวมถึงข้อเสนอให้เรื่องการยกเลิกความเป็นไทยด้วย
"เรื่องทรงผมไม่ใช่ว่าได้รองทรงแล้วจะจบ เราจะเรียกร้องไปถึงที่สุดเลยครับ คือจำเป็นเลยที่จะต้องยกเลิกกฎระเบียบเรื่องทรงผม เพราะว่าผมเชื่อเลยครับถ้าสมัยก่อนเขาให้รองทรง นักเรียนก็ต้องต่อสู้อยู่ดี ก็ต้องเรียกร้องสิ่งที่มากกว่า ไม่มีใครหรอกครับที่จะต้องการโดนจำกัดเสรีภาพ และเสรีภาพที่ทางกระทรวง (ศึกษาธิการ) ให้ เป็นเสรีภาพจอมปลอมเท่านั้นเอง ทำให้เราหลงเชื่อว่าเรามีอิสรภาพ มีเสรีภาพแล้ว เสรีภาพที่แท้จริง ต้องไม่ควบคุมกันครับ นี่เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องไปให้ถึงที่สุด"
"และเราจะเรียกร้องเกี่ยวกับ อาจจะเรื่องความเป็นไทยด้วย เพราะเรารู้สึกแย่กับความเป็นไทยเต็มที่แล้ว เพราะเวลาสู้เรื่องทรงผม ครูบาอาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษาชอบอ้างเรื่องความเป็นไทย ดังนั้นทางสมาพันธ์ฯ ซึ่งเป็นนักเรียน เป็นเยาวชน ต้องการปลุกมโนธรรมของนักเรียน และครู อาจารย์ให้รู้ว่าความเป็นไทยมันไม่มีอยู่จริง นอกจากอุปโลกน์ขึ้นมา เราจะต่อสู้เรื่องวาทกรรมพวกนี้ด้วย และจะต่อสู้เรื่องโรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนน้อยๆ ต่างๆ รวมถึงจะเอาเรื่องการศึกษาทางเลือกมาพิจารณา แล้วก็คุยเรื่องประเด็นหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการว่าจะเป็นอย่างไร" เนติวิทย์ ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กล่าวตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์
นอกจากนี้ในวันที่ 6 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ทางสมาพันธ์นักเรียนไทยฯ จะจัดเสวนาเปิดครั้งที่ 1 "ทิศทางนักเรียนไทยในอนาคต" ด้วย ที่ TK Park ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ โดยเขากล่าวว่าจะเป็นการเปิดตัวกลุ่มครั้งแรก จะมีการพูดเรื่องทรงผม เครื่องแบบนักเรียน รวมถึงทิศทางของนักเรียนไทยในอนาคต โดยจะเป็นการคุยกันให้แตกฉาน นอกจากนี้ทางกลุ่มก็จะเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนกลุ่มนักเรียนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในโรงเรียนแห่งต่างๆ ด้วย
ในวันที่พูดคุยกับเนติวิทย์ คือวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดยและวันดังกล่าวเขาได้หยุดเรียน เพื่อมาฟังปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยเขาบอกว่า ได้หยุดโรงเรียนเองเช่นนี้เพื่อร่วมกิจกรรมในวันที่ 24 มิถุนายน มาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว
โดยเขาเล่าให้ฟังด้วยว่า ในปีนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่เขาสามารถจัดงาน "สัปดาห์รำลึกอภิวัฒน์สยาม 2475" ขึ้นภายในโรงเรียนที่เขาอธิบายว่า "มีสภาพที่อนุรักษ์นิยมอย่างเต็มที่" อย่างไรก็ตามในหมู่เพื่อนนักเรียนยังไม่ตระหนัก เพราะการเรียนที่มุ่งไปเพื่อสอบนั้น นักเรียนส่วนมากต้องสอบอย่างเดียว ยิ่งอยู่ชั้น ม.5 จึงขึ้น ม.6 แล้ว ตอนนี้ยิ่งต้องเตรียม ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยอะไรดี จะตามฝันอย่างไรดี เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนี้
เขากล่าวด้วว่าเห็นด้วยกับประกาศของคณะราษฎรอย่างเต็มที่ "โดยส่วนของหลัก 6 ประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสมอภาค เสรีภาพ เรื่องเอกราช ความปลอดภัย การศึกษา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในสังคมไทย ตอนนี้สิ่งเหล่านี้ไม่มีอย่างเต็มที่ เรื่องการศึกษาก็ดี ราษฎรก็ไม่ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันทุกคน และการศึกษาก็ห่วยแตก การศึกษาซึ่งคณะราษฎรต้องการปลูกฝังให้เราเป็นพลเมือง แต่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นพลเมือง ตอนนี้เราอยู่ภายใต้อำนาจ ไม่สามารถคิดได้อย่างอิสระ"

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"เนติวิทย์" ชี้หมอบ คลาน ถวายบังคมเป็นซากเดนวัฒนธรรม ลั่นเซ่นไหว้รูปร.5 ไร้สาระ!!!

"เนติวิทย์" โจมตีวัฒนธรรมการหมอบ คลาน ถวายบังคม ว่าเป็นซากเดนวัฒนธรรม เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน พร้อมบอกอีกว่าการเซ่นไหว้รูป ร.5 ท่านเป็นเทวดาคงไม่มาเกลือกกลั้วกับของเซ่นที่ไม่มีรสนิยมเช่นนี้

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้มีการยกประเด็นต่างๆ ในสังคมไทยขึ้นมาวิจารณ์ซึ่งเป็นแนวขวางโลกพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พุทธศาสนาในเรื่องเรียนเป็นเรื่องไร้สาระ การตัดผมเกรียนของนักเรียน การยกเลิกการเข้าแถวเคารพธงชาติ และอื่นๆอีกมาก วันนี้ ( 14 ส.ค. ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเฟชบุค Netiwit Ntw ได้มีการโพสต์ข้อความโจมตีวัฒนธรรมไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ได้กล่าวถึงพีธีหมอบคลาน ถวายบังคม พึ่งพาอำนาจสิ่งศักดิ์ ชี้เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นซากเดนวัฒนธรรม เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน และยังกล่าวถึงเรื่องการเซ่นไหว้รูปพร้อมเครื่องเซ่น เสด็จพ่อร.5 ว่า ท่านเป็นเทว พระพุทธเจ้าหลวง แล้วจะมาเกลือกกลั้วกับของเซ่นที่ไม่มีรัสยมได้อย่างไร
ผมเคยผ่านไปสถานศึกษาบางแห่งซึ่งบอกว่าตนเป็นโรงเรียนชั้นสูงจริงๆ ก็ดัดจริตทั้งนั้นแหละเห็นมีพิธีหมอบคลาน ถวายบังคม ซึ่งในมหาวิทยาลัยก็มีอยู่หลายแห่ง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมาก ที่พวกเราเรียนหนังสือมาตั้งมากมาย แต่ไม่สามารถที่จะยืนตัวตรงได้ไม่เป็นตัวของตนเองได้ และพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือตัวเรา
ซึ่งเป็นอิฐเป็นปูนไม่มีแก่นสาร และพิธีกรรมเหล่านี้ ในหลวงรัชกาลที่5 ก็ให้ยกเลิกไปหมดแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ซากเดนวัฒนธรรมเหมือน สัตว์เลื้อยคลานก็หาจะสิ้นสุดไปไม่ ภายหลังก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และโรงเรียนที่ผมรู้จักดีมานานผมก็สงสัยว่าทำไมต้องมีการไหว้รูปเคารพ พร้อมเครื่องเซ่นเสด็จพ่อร.5 ถ้าท่านเป็นเทวดาหรือเป็นตั้งพระพุทธเจ้าหลวงแล้วจะมาเกลือกกลั้วกับของเซ่นที่ไม่มีรสนิยมเช่นนี้ได้อย่างไรสวรรค์ก็อิ่มทิพย์มิใช่ดอกหรือ นี่แสดงว่าคนเซ่นไหว้สิ้นเปล่าไปหรือไม่

กระทรวงศึกษาของเราเองก็ยังอุทิศหน้าในเว็บไซต์ให้กับความงมงาย แล้วเราจะหาการวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไรนักเรียน ครู ซึ่งยังมีความชอบธรรมพอในการวิจารณ์โรงเรียนได้อย่างเต็มปาก ควรที่จะต้องออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ กับความล้าหลัง รักแบบสร้างภาพแบบตามมาๆอย่างไร้เหตุผล และบางทีก็บังคับให้เรายอมรับและจมปลักกับมันจมแทบโงหัวไม่ขึ้น
                                         

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล โพสต์อีก ! จวกการศึกษาไทย อัปรีย์ไป จัญไรมา

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Netiwit Ntw

         
 เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล แชร์บทความวิจารณ์ระบบการศึกษาไทยผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้ง ซัด ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยการศึกษาไทยก็ยังเหมือนเดิม แบบ อัปรีย์ไป จัญไรมา เชื่อ ระบบการศึกษาไทยไม่ดีขึ้นแน่ หากนักการเมืองไร้วิสัยทัศน์ ไม่เข้าใจความทุกข์ของครู-นักเรียน

          หลังจาก นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย นักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ถูกชาวเน็ตวิจารณ์อย่างหนัก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากกรณีออกมาโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ระบบการศึกษาของไทยว่า เน้นปลูกฝังความเป็นไทยผ่านเนื้อหาบทเรียนที่ล้าหลัง ทำให้นักเรียนเกิดความเชื่อที่ผิด ๆ โดยอาศัยชื่อความเป็นไทยมาทำให้นักเรียนยกย่องเทิดทูน ยกระบบโซตัสให้สูง จนผู้น้อยไม่สามารถขัดแย้งใด ๆ ได้เลยนั้น

          ล่าสุด ในวันนี้ (10 กรกฎาคม 2556) นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้นำบทความเรื่อง "อภิวัฒน์ระบบการศึกษา เพื่อพ้นจากการศึกษา แบบ "อัปรีย์ไป จัญไรมา” (๑)" ที่นายเนติวิทย์เคยเขียนไว้ใน เฟซบุ๊ก Netiwit Ntw ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 กลับมาแชร์ให้ผู้สนใจได้อ่านกันอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำความคิดดังกล่าว

           ทั้งนี้ ในบทความเรื่องนี้ นายเนติวิทย์ ได้ยกบทความเรื่อง "Education in Thai: A Terrible Failure" หรือ "การศึกษาไทย : ความล้มเหลวอย่างน่าบัดซบ" ที่เขียนขึ้นโดย Cassandra James อาจารย์ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เคยสอนในประเทศไทยมาให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยอาจารย์คนนี้วิเคราะห์ระบบการศึกษาไทยไว้ว่า ระบบการศึกษาไทยมีความเลวร้ายอย่างมาก ทั้งครูไร้ประสิทธิภาพ ได้รับค่าจ้างอยู่ในขั้นต่ำ นักเรียนไม่มีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ระบบราชการไทยเป็นแบบเจ้าขุนมูลนาย รัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาไทยบริหารจัดการไม่เป็น และยังบอกด้วยว่า ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

          หลังจากยกบทความดังกล่าวขึ้นมาแล้ว นายเนติวิทย์ ก็ได้แสดงความเห็นเสริมเข้าไปว่า สิ่งที่ครูต่างชาติคนนี้เขียนแสดงให้เห็นว่าการศึกษาไทยไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย ก็ยังเหมือนเดิม อาจใช้คำว่า "อัปรีย์ไป จัญไรมา" ก็ยังได้ พร้อมตั้งคำถามด้วยว่า ครูไทยได้สอนการคิดเชิงวิพากษ์ให้แก่เด็กไหม และได้สอนเรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการใช้หัวสมองคิดคำนวณ โดยไม่โยงไปหาหัวใจเลยหรือไม่ จึงอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันทบทวนระบบการศึกษาด้วย


เนติวิทย์ โพสต์อีก จวกการศึกษาไทย อัปรีย์ไป จัญไรมา

สำหรับข้อความทั้งหมดนั้น มีดังนี้


          อภิวัฒน์ระบบการศึกษา เพื่อพ้นจากการศึกษา แบบ "อัปรีย์ไป จัญไรมา" (๑)

          เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

          ขออุทิศบทความนี้แด่ ... อาร์ เนส (Arne Naess) – บิดาแห่งนิเวศวิทยาแนวลึก เนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปีชาตกาล

          คำว่า "การศึกษา" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ให้คำจำกัดความว่า"เล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม" เป็นไปได้ทั้ง ๓ ความ คือ เล่าเรียน ๑ ฝึกฝน ๑ และอบรม ๑ พจนานุกรมฉบับนี้ขยายความว่า "เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้ ความชำนาญ สามารถประกอบการงานอันเป็นอาชีพของตนได้ มีอนามัยร่างกายสมบูรณ์ มีจรรยาความประพฤติดี อันจะมีคุณประโยชน์แก่ตน ครอบครัว และส่วนรวม ในทางดำเนินวิถีชีวิต และทำให้เกิดสติปัญญา ความสามารถของตนที่เร้นอยู่ คลี่คลายเป็นความเจริญ ส่งผลให้เกิดความสุขสบายใจ" อันความหมายนี้ ดัดความมาจาก Education ของพจนานุกรมฝรั่งอีกที ในหนังสือ "ศึกษิต" ของ น.ม.ส. (พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) ก็ให้คำจำกัดไปในทางนี้ก็คือ "ความงอกงาม" 

          ๑. แล้วเวลานี้ การศึกษาไทย เป็นไปเพื่อความงอกงามแล้วละหรือ? เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และส่วนรวมจริงละหรือ? เป็นไปเพื่อนำสิ่งที่ "เร้นอยู่" หรือศักยภาพภายในของผู้เรียนออกมาได้ละหรือ? ดูคำนิยามคำว่า "การศึกษา" จากพจนานุกรมฉบับดังกล่าว เห็นจะไม่ตรงกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มันอยู่ตรงข้ามกับความเป็นจริง คนจำนวนไม่น้อยคงจะคิดว่าคำนิยามนั้นเป็นคำลวงโลก หรือเป็นอุดมคติที่เกินจะอาจเอื้อม คงไม่ต้องขยายความ อาจจะบอกกล่าวก็ได้เลยว่าการศึกษาไทยเวลานี้ อัปลักษณ์แค่ไหน อย่างไร 

          ทั้งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่เขียนเอง หากจะอ้างบทความ Education in Thai: A Terrible Failure  (ข้าพเจ้าแปลชื่อหัวข้อว่า การศึกษาไทย: ความล้มเหลวอย่างน่าบัดซบ) บทความนี้เขียนโดยครูฝรั่งที่เคยสอนในประเทศไทย ซึ่งบัดนี้ย้ายไปสอนประเทศอื่นแล้ว นาม Cassandra James เธอเขียนไว้อย่างน่าสนใจ โดยที่วิจารณ์ความห่วยแตก บัดซบ ของระบบการศึกษาไทย สรุปได้ว่า เธอผู้นี้มาสอนอยู่ที่นี่ได้ไม่เท่าไร ก็รับรู้ถึงความทุเรศ ความเลวร้ายของระบบการศึกษาไทย – นักเรียนกว่า ๕๐ คน, ครูไร้ประสิทธิภาพในการสอน, เงินเดือนจ่ายต่ำ, เด็กนักเรียนไม่มีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ขาดแคลน, ดีแต่สร้างภาพ, ระบบราชการไทยเป็นแบบเจ้าขุนมูลนาย เหมือนตัวตลกหนึ่งเดียวของโลก ไม่เท่านั้น รัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาไทยก็บริหารจัดการไม่เป็น แถมไม่ค่อยมีสติปัญญาเท่าไร ฯลฯ เธอสรุปไว้อย่างสั้น ๆ บรรทัดเดียวแต่เริ่มหัวข้อแล้วว่า ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมันเลวมากขึ้นทุกปี" 

          ๒. หลังจากบทความนี้ซึ่งอันที่จริงเป็นบทความที่เขียนมายาวนานนับปีแล้วได้เผยแพร่ออกมา ก็กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่งต่อกันมากมาย หลายร้อย หลายพันครั้ง คงไม่มีใครปฏิเสธสิ่งที่เธอพูดว่าไม่จริง สิ่งที่เธอเขียนมันสะท้อนถึง "โฉมหน้าการศึกษาไทยที่แท้" ในยุคปัจจุบัน ที่กี่ยุค กี่สมัยก็ดูจะเหมือนเดิม หรือจะใช้คำว่า "อัปรีย์ไป จัญไรมา" ย่อมได้

          อยากถามต่อไปว่า ครูไทยได้สอนการคิดเชิงวิพากษ์ให้แก่เด็กไหม? ครูสอนนักเรียนให้คิดถึงผลประโยชน์ส่วนร่วม ไม่ใช่แค่มีน้ำใจ แต่หมายถึงมนุษยชาติทั้งหมด ให้เด็กตระหนักถึงความอยุติธรรมหรือเปล่า? หรือเอาแต่ให้ใช้หัวสมองคิด คำนวณอย่างเดียว โดยไม่โยงไปหาหัวใจเลย แล้วความเป็นกัลยาณมิตรกับผู้เรียน มีบ้างหรือเปล่า? หรือมีแต่ระเบียบพิธีกรรม ไสยศาสตร์ ซึ่งตกยุคพ้นสมัยไปแล้ว หรือเรียกมันได้ว่า สิ่งที่ปฏิกูลตกค้างจากยุคดึกดำบรรพ์ก็ได้ 
          ที่เอ่ยมานี้ขอให้ทบทวนกัน คิดพิจารณากันให้มาก อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังไม่มีรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาที่เข้าใจความทุกข์ของนักเรียน เห็นนักเรียนดั่งจักรกล ต้องอบรมมันเข้าวัดจะได้เป็นคนดี (วัดเดี๋ยวนี้ ล้วนแต่เลวร้าย มีแต่สนับสนุนทุนนิยม บริโภคนิยม ไสยเวทวิทยา มิจฉาชีวะ) เข้าใจครู ความทุกข์ยากของครู และไม่ได้มาจากเหล่าครูเอง แต่เป็นนักการเมืองที่ปราศจากวิสัยทัศน์ ตราบนั้น อย่าได้หวังเลยว่า การศึกษาไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่งอกงาม ดียิ่งขึ้น หรืออ้างคำท่านพุทธทาส ท่านเรียกมันว่า "การศึกษาแบบหมาหางด้วน" อย่าหวังเลย

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ยกเลิกความเป็นไทยไม่พอ ไหว้ครู.คลานเหมือนเดรัจฉาน!!

1 ก.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และบรรณาธิการ นิตยสารปาจารย์สาร ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า Netiwit Ntw โดยโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา แสดงความเห็นภายใต้เรื่องว่า ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย โดยเขียนถึงระบบการศึกษา เนื้อหาสาระ และเรื่องการเรียนการสอน

นายเนติวิทย์ โพสต์ตอนหนึ่งว่า ระบบโซตัส เป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศแห่งนี้ ความคิดการจัดวางลำดับชั้นต่ำสูง ระบบอาวุโส ระบบอุปถัมภ์ ครู – นักเรียน แบบพ้นยุคพ้นสมัย จึงเป็นสิ่งสำคัญ นักเรียนก็ไม่เท่าเทียมกับครู ปัญหาการโต้เถียงถกเถียงครูอาจารย์ในสังคมไทยบางทีก็เป็นเรื่องรับไม่ได้ นักเรียนคิดแย้งก็มีน้อยและส่วนมากไม่กล้า เพราะสภาพที่กดดันและอำนาจนิยม

แม้ครูกับครูเองก็มีปัญหา คือผู้บริหารคิดว่าตัวเองวิเศษ สูงส่งกว่าครูธรรมดา ครูก็มีหน้าที่รับฟัง เชื่อฟัง ขัดแย้งไม่ได้ แม้มีคนขัดแย้งก็หาพวกรวมกลุ่มกันได้ยาก เพราะครูเองก็เคยเป็นนักเรียนถูกหลอมผ่านระบบการศึกษาที่เห็นระบบอาวุโส เป็นของดี วันไหว้ครูก็ต้องหมอบคลานเข้าไปเหมือนสิงสาราสัตว์ แล้วก็อ้างว่า เป็นของไทย น้ำตาจะไหลเพราะซึ้งจัด

ในเรื่องของเนื้อหาสาระนั้น เน้นไปเฉพาะวิชาสังคมศึกษา หมวดประวัติศาสตร์ เราแคบมาก เน้นการท่องจำจนเกินไป แบบไม่มีความสุข ไม่ให้ศึกษาวิเคราะห์ ซ้ำร้ายที่สุดคือชุดความคิดที่พวกเขาสร้างประดิษฐ์กรรมขึ้นมา ซึ่งซึมเข้าสู่สังคมจนสังคมเป็นแบบที่เราเห็น ไม่มีการเรียนการสอน การศึกษาอดีตของเราจึงเป็นของปลอม ไม่ให้คนมีความลึกซึ้ง คนที่อยากจะเรียนรู้จึงหวังพึ่งตำราเรียนไม่ได้

ข้อความที่นายเนติวิทย์โพสต์ลงเฟซบุ๊ค    
https://www.facebook...144948172233316

นักเรียนส่วนมากถูกปลูกฝังเรื่องชาตินิยม ปลุกฝังเรื่องของการเสียดินแดน 14 ครั้ง ทั้งที่ดินแดนเหล่านั้นไม่ใช่ของไทยจริงๆ อาการเหยียดเพื่อนบ้านก็ย่อมมี แสดงว่าเราจะเข้าประชาคมอาเซียนแบบดูถูกเพื่อนบ้าน ไม่เป็นเรื่องที่ฉลาดเลย พวก 14 ตุลา หรือ 6 ตุลาคม เราได้บทเรียนอะไรไม่มี ประวัติศาสตร์ของเราที่สอนๆกัน เน้นไปเมื่อ 100 – 700 ปีที่แล้ว ดังนั้นคนในประเทศเราไม่แปลกที่มีความคิดแบบ หนึ่งร้อยปีก่อน ก็ไม่แปลกที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักนายปรีดี พนมยงค์ นายป๋วย อึ้งภากรณ์

นายเนติวิทย์ โพสต์ในเรื่องการสอนว่า มี 2 แบบ คือ 1.สอนให้โง่ กับ 2.สอนให้ฉลาด เวลานี้ดูเหมือนสอนให้โง่ ถ้าสอนให้ฉลาดต้องสอนให้มีการตั้งคำถาม ตรวจสอบกับอดีตซึ่งมีผลกับปัจจุบันทั้งนั้น เหตุใด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ไม่มี การสอนแบบนี้คือสอนให้โง่

“สุดท้ายแม้เราจะไม่รู้หรอกว่าความเป็นไทยคืออะไร ถามครู ถามนักเรียน ถามใครๆ หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ แต่เราก็ยังยินดีอุทิศตัวให้กับนามธรรมแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าเป็นของดี เพราะถ้าคุณถาม อำนาจของพวกเขาก็สั่นคลอน ความเป็นไทยที่ครอบงำสมอง ทรงผม เครื่องแบบ จากหัวจรดตีน ก็จะพินาศไป ผมอยากให้เราไปพ้นความเป็นไทย ซึ่งความเป็นไทยแบบนี้คือความเป็นทาสที่ไม่ต้องล่ามโซ่พันธนาการก็ยินดีกับความเป็นทาส ฉีกกรอบไปหาความเป็นไท ที่อิสรเสรี แล้วคิดว่านักเรียนเวลานี้ก็ตื่นตัวกันมากแล้วที่จะเป็นไท”

http://www.naewna.com/local/58054