วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ข้อสงสัยและความห่วงใยจากนักเรียนคนหนึ่ง



เรียน ลุงกำนัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส และคณะ

เรื่อง ข้อสงสัยและความห่วงใยจากนักเรียนคนหนึ่ง 

กำนันสุเทพที่เคารพ กระผมนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนมัธยม ม.5 คนหนึ่งที่สนใจและศึกษาข่าวสารทางการเมืองคนหนึ่ง มีความเป็นห่วงอย่างแรงกล้าต่อวิกฤติบ้านเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งมันรุนแรงมากและมีการเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้นแล้ว กระผมเห็นว่าลุงกำนันเป็นส่วนสำคัญของวิกฤติครั้งนี้ด้วย กระผมจึงปรารถนาเขียนจดหมายถึงลุงกำนันด้วยความเคารพ พร้อมตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นอันระคนไปด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างแรงกล้า ลุงกำนันจะพอใจหรือไม่ก็ตามแต่กระผมรู้สึกกังวลใจต่อบ้านเมืองจริงๆ

๑) กระผมมีความสงสัยมาตลอดว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของลุงกำนันมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ ต้องการอะไรกันแน่ มันเป็นความสงสัยอย่างแรงกล้าที่ไม่อาจปิดบังได้เลย ลุงกำนันออกมาเรียกร้องคัดค้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ผมซึ่งติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็เข้าใจและเห็นด้วยว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง แต่เมื่อรัฐบาลได้ถอนร่างออกแล้ว เหตุใดการเคลื่อนไหวจึงยังไม่ยุติซ้ำยังมีความรุนแรงมากขึ้นเสียอีก ลุงกำนันก็เคยบอกเองว่าจะจบวันนั้น วันนี้ เป็นครั้งสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่าให้เร็วที่สุด เข้าใจว่าพูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เหตุใดยืดเยื้อยาวนานถึงบัดนี้

๒) ดังที่กระผมได้กล่าวถามไปแล้วว่า “มีความต้องการอะไรกันแน่” ลุงกำนันอาจจะตอบผมว่าก็ดูที่ตำแหน่งห้อยท้ายของลุงสิ ลุงกำนันกำลังจะทำการปฏิรูปให้นำไปสู่ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” แต่ผมก็เกิดความสงสัยว่า วิธีการของลุงกำนันและมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของลุงกำนันจะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้จริงละหรือ กปปส.ของลุงกำนันเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แต่สภาปฏิรูปของลุงเสนอให้มี 75 เปอร์เซ็นต์มาจากการแต่งตั้ง และ 25 มาจากการเลือกตั้ง ลุงกำนันยังเคยเสนอให้ทหารออกมาทำการรัฐประหาร ลุงกำนันยังได้แสดงทัศนะและทำการขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น ลุงรู้หรือไม่ว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิเสียงของคนจำนวนมากของประเทศนี้เช่นกัน เขาก็เป็นประชาชน ลุงกำนันก็เป็นประชาชน ต่างก็ต้องอยู่ในกติกาที่เคารพซึ่งกันและกันมิใช่หรือ ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ลุงกำนันทำมันเป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติจริงหรือไม่ หรือเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยที่ลากตั้งกันและอวดอ้างว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” 

๓) กระผมทราบว่ามีนักวิชาการบางคนเรียกลุงกำนันและขบวนการ ว่าเป็นดั่งมหาตมะคานธี เป็นเหมือนสาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ กำนันสุเทพอาจจะรู้สึกดีใจจนตัวลอยกับถ้อยคำของนักวิชาการพวกนี้ก็ได้ แต่พวกเขาพูดจริงละหรือ ถ้อยความดังกล่าวมันเป็นการยกยอปอปั้นหลอกลวงกำนันสุเทพหรือเปล่า เป็นที่เข้าใจกันดีว่า มหาตมะคานธีเป็นแบบอย่างสำคัญของการใช้อหิงสา แต่สิ่งที่มหาตมะคานธีกระทำนั้นมิใช่เป็นเพียงลมปากที่พ่นออกมาเท่านั้น อหิงสาของคานธีประกอบไปด้วยความรักและสัจจะ อหิงสาของคานธีมาควบคู่กับสิ่งที่เรียกว่าสัตยาเคราะห์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Truth Force – The power of Truth) คือการใช้สัจจะเป็นอาวุธใช้ความรักความเข้าใจพิชิตความโกรธความเกลียดชัง ขบวนการและตัวลุงกำนันเดินตามทางนี้ละหรือ 

๔) ถ้าคุณสุเทพเดินตามขบวนการแห่งอหิงสาวิธีดังที่นักวิชาการบางคนสรรเสริญยกยอ แล้วถ้อยความที่ว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยทำคือทุจริตคอร์รัปชั่นตลอดชีวิตนักการเมือง” หลุดออกจากปากของลุงกำนันได้อย่างไร ทั้งๆที่ก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าลุงกำนันได้กระทำอะไรไว้บ้าง ใยต้องหลอกลวงตัวเองและคนอื่นด้วย ในอัตชีวประวัติของมหาตมะคานธี (หมายถึง “The Story of My Experiments with Truth) เขียนโดยตัวเขาเองก็มิได้มุสาวาทต่อสิ่งที่เขาได้เคยทำผิดไว้เลย ลุงกำนันโปรดพิจารณาดูเถิด ขบวนการของลุงกำนันและตัวลุงมีพร้อมด้วยสัจจะไหม มีพร้อมด้วยความรักต่อเพื่อนมนุษย์ไหม คนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของลุงกำนันกลายเป็นว่าเป็น “ขี้ข้าระบอบทักษิณ” เป็น “ควายแดง” ทำไมลดทอนศักดิ์ศรีและเหมารวมกันเยี่ยงนี้ ผมยังรู้สึกเศร้าใจบ่อยครั้งเมื่อฟังเวทีปราศรัยของคุณลุงที่เต็มไปด้วยคนที่มีการศึกษา แต่ด้อยสติปัญญาและให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ มีนายแพทย์พูดจาอย่างน่าบัดซบ (ทำรีแพร์ให้นายก) มีอาจารย์มหาวิทยาลัยหยาบคาย (ล่อเพื่อชาติ) เป็นต้น มันน่าปวดใจมากที่เยาวชนและประชาชนต้องฟังคำหยาบคายหยามหมิ่นมนุษย์ด้วยกันแม้เขาจะเป็นตำแหน่งไหนๆก็ตาม จากผู้ที่อวดอ้างเรียกตัวเองว่ามีการศึกษาเป็นคนดีมีศีลธรรมอันอวดอ้างทั้งหลายมันน่าเจ็บใจจริงๆ แลการปลุกระดมคนไปคัดค้านขัดขวางสิทธิเลือกตั้ง มิใช่เป็นการต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือ

สิ่งที่ผมถามลุงกำนันไป และแสดงความเห็นอันห่วงใยกังวลนี้ ผมหวังว่าลุงกำนันจะตอบผม ผมเขียนด้วยความหวังดีเป็นกัลยาณมิตรต่อลุงกำนัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับลุงกำนัน แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กระผมรักและหวังดีกับลุง กระผมรู้สึกและเห็นประจักษ์แล้วว่าการศึกษาสูงในระบบไม่ใช่ว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ จากการเล่าเรียนอันน้อยนิดของผมก็รู้ว่า ขบวนการที่โกรธเกลียดเหยียดหยามหมิ่นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่อาจนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ มันรังแต่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลุงกำนันรู้ไหมการดื้อรั้นที่จะ “ปฏิรูป” ของลุงกำนัน อันไม่มีรูปธรรมชัดเจนและปลุกปั่นด้วยความเกลียดชัง มันนำไปสู่ความรุนแรงมากแค่ไหนแล้ว ในส่วนของโรงเรียน ตอนนี้มีกี่แห่งแล้วที่ประสบเหตุไปเรียนไม่ได้ และนักเรียนไปเรียนด้วยความเสี่ยงในอันตราย 

ผมไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าอย่างไร ความรุนแรงจะสงบไหม ถ้าลุงกำนันยังดื้อรั้นในวิธีการแบบนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ผมหวังเสมอแม้มันอาจริบรี่ อยากให้สังคมของเราปฏิรูป แต่มันต้องไปในทางประชาธิปไตย เป็นไปในทางสันติประชาธรรม มีขันติ มีกติการ่วมกัน ยึดมั่นเคารพศักดิ์ศรีเพื่อนมนุษย์ ขอให้สำเร็จเถอะ
ด้วยรักและห่วงใย

(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ผมรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ


Netiwit Ntw แสดงความคิดเห็นตอบโต้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรและผู้จัดรายการทาง วอยทช์ ทีวี

4 ก.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียน ร.ร.นวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดม พัฒนาการ เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และบรรณาธิการ นิตยสารปาจารย์สาร ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า Netiwit Ntw แสดงความคิดเห็นตอบโต้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรและผู้จัดรายการทาง วอยทช์ ทีวี ที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคลิปคำให้สัมภาษณ์ของนายเนติวิทย์ กรณีการเสนอให้ยกเลิกความเป็นไทย
นายเนติวิทย์ ระบุไว้ว่า การยกเลิกความเป็นไทยไม่ใช่การยกเลิกคุณธรรม จริยธรรม และมโนธรรมความเป็นมนุษย์ การมีคารวะ 6  การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่สิ่งที่กล่าวถึงนั้นคือการนำสังคมไปผูกโยงกับเผด็จการ  เป็นการหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้เกิดการถกเถียง เพื่อให้เท่าทัน ไม่ถูกครอบงำ
“ข้าพเจ้าออกจะรู้สึกผิดหวังก็คือ คุณปลื้มไม่เข้าใจมิติทางด้านประวัติศาสตร์ คือการต่อสู้ในการเรียกร้องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ไม่ได้แค่ต่อสู้กับคณะรัฐประหารเท่านั้น หากคือการชูประเด็นอื่นๆอีกด้วยในแง่มุมสิทธิและเสรีภาพ และความเสมอภาค แม้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าประชาชนมิได้กุมบังเหียน รัฐบาลนั้นอย่างแท้จริงแล้ว ก็ย่อมมีการต่อสู้ การต้องการมีส่วนร่วม นี่คือประชาธิปไตยมิใช่หรือ ประชาธิปไตยไม่มีหรอกว่า พูดเรื่องนี้ได้แต่อีกเรื่องไม่ได้ และการนี้ก็เป็นเรื่องสะท้อนตัวชี้วัดการรัฐประหารก็ยังได้”
นายเนติวิทย์ โพสต์ไว้ช่วงท้ายๆ ว่า หากสังคมที่มีวุฒิภาวะต้องรับฟังอย่างมีขันติธรรม และถกเถียงอย่างมีเหตุผล การรัฐประหารก็จะไม่เกิดขึ้นได้เลยในสังคมนี้ แต่ของเรานั้น แค่เรื่องนี้ก็รับไม่ได้แล้ว ฟังไม่ได้ศัพท์ก็จับไปกระเดียดกันเสียแล้ว นี่น่าเป็นห่วง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายเนติวิทย์ ได้โพสต์ข้อความโดยใช้หัวเรื่องว่า “ความเป็นไทยตั้งแต่หัวจรดตีน – ผ่านระบบการศึกษาไทย” มีการกล่าวถึงระบบโซตัส การสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ยึดความเป็นชาตินิยม การเรียนการสอน ที่แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ สอนให้โง่ กับสอนให้ฉลาด ซึ่งในระบบการศึกษาไทยปัจจุบันนั้น นายเนติวิทย์แสดงความคิดเห็นไว้ว่า เป็นระบบ “สอนให้โง่” นอกจากนี้ยังวิพากษ์วิจารณ์พิธีไหว้ครู ซึ่งโพสต์ไว้ว่า ต้องหมอบคลานเข้าไปเหมือนสิงสาราสัตว์ แล้วก็อ้างว่า เป็นของไทย น้ำตาจะไหลเพราะซึ้งจัด เป็นต้น
ข้อความที่นายเนติวิทย์โพสต์ลงเฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/pages/Netiwit-Ntw/144948172233316




วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เนติวิทย์และพวก ถูกจับข้อหาใช้รถดัดแปลง ขณะเดินขบวนไปศธ.

วันนี้(25 ต.ค.) มีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิตได้จับกลุ่มแนวร่วมนักเรียนนักศึกษาผลักดันปฏิรูปการศึกษาไทยประมาณ 30 คน นำโดยเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยได้มีการแจ้งข้อหาใช้รถดัดแปลง ซึ่งทั้งหมดโดนปรับรวม 500 บาทและได้รับการปล่อยตัวแล้ว
10472005353_0959544ff4
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มแนวร่วมดังกล่าวเดินขบวนเพื่อไปกระทรวงศึกษาธิการเพื่อยื่นหนังสือการเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษาให้มีความเป็นธรรม รวมถึงจัดสว้สดิการการศึกษาในแบบรัฐสวัสดิการ และยกเลิกกฎระเบียบทางการศึกษาที่โบราณขัดหลักสิทธิเสรีภาพต่างๆ
ด้านนายปิยรัฐ จงเทพ หนึ่งในนักศึกษาที่ถูกจับเผยว่า ตำรวจมีความพยายามแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ความมั่งคงด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเรียกร้อของแนวร่วมฯ ไม่มีประเด็นทางการเมืองจึงยอมไม่เอาความ แต่ทางกลุ่มตนเตรียมแจ้งความกลับตำรวจในข้อหาใช้รถไม่ติดทะเบียน
ภาพจากเฟซบุ๊ก ‘Decharut Sukkumnoed

จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระที่จะเลือกวิถีชีวิตของเขาเถิด

ท่านผู้ใหญ่ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้มานานพอแล้ว 
และท่านก็มีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะอยู่ต่อไป
พวกเด็กๆ พวกเยาวชนรุ่นหนุ่มสาว 
เขามีเวลาข้างหน้าอันยาวนานที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป
เพราะฉะนั้นก็เป็นการชอบธรรมอย่างยิ่ง
ที่เขาควรจะมีความคิดเห็น ในการจัดแจง
ประชาคมและโลกให้เป็นที่ผาสุข
ตามรสนิยมและทัศนะของเขา
ยิ่งกว่าบุคคลที่ใกล้จะอำลาโลกไปแล้วมิใช่หรือ

จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระที่จะเลือกวิถีชีวิตของเขาเถิด
แต่ปล่อยหรือไม่ปล่อยก็เท่ากัน
เพราะเขาคงแสวงหามันจนได้.
--------------------------
กุหลาบ สายประดิษฐ์ "ศรีบูรพา"
จากบทความ "มองนักศึกษา ม.ธ.ก.ด้วยแว่นขาว"
วารสารธรรมจักร ของสโมสรนักศึกษา
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2495

จากทรงนักเรียน ถึงข้อเสนอยกเลิกความเป็นไทย