ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนคนหนึ่งซึ่งหลายคนไม่ชอบหน้า หมั่นไส้รังเกียจและเห็นว่าขวางโลก การกล่าวเช่นนี้คงไม่เกินเลยความจริงไปเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดอ่านเขียนไม่ตรงกับที่กระแสสังคมยอมรับนี่ก็อาจรวมไปถึงกริยามารยาทของข้าพเจ้าด้วยต้องยอมรับในเรื่องนี้ว่าข้าพเจ้ามีปัญหาคือเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจะดัดจริตก็ได้ไม่นานเวลาพูดก็พูดเหมือนอยู่ที่บ้านและที่ไหนๆแต่ข้าพเจ้าก็คงจะต้องยอมเปลี่ยนหรือเพิ่มความสุภาพให้มากขึ้นกระมังหาไม่แล้วผลลัพธ์ในทางดีจะมีไม่มากและหนังสือพิมพ์อย่างที่อ.ป๋วยว่าสื่อมวลสัตว์ ไม่ใช่ สื่อมวลชน ก็คงไปพาดหัวและตัดต่อคลิปมาอย่างสั้นๆอีกข้าพเจ้าเป็นนักเรียนผู้ได้รับฉายานักเรียนผู้มีทัศนคติอันรุนแรงและอันตรายมาแต่มัธยมปีที่สองแล้วซึ่งจริงๆข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ได้อันตรายอะไรเลยแต่ในสังคมไทยจะมองอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ที่ข้าพเจ้ามาเป็นเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากการที่ได้อ่านหนังสือได้ศึกษาความคิดอีกด้านมุมหนึ่งของสังคมกระแสหลักข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องเสรีภาพทางความคิดและที่ข้าพเจ้ากระทำไปในโรงเรียนนั้นไม่มีทางที่จะมีผลดีแต่อย่างเดียวหากย่อมต้องมีผลเสียเป็นธรรมดาอยู่ที่ท่านจะพิจารณาส่วนไหนวัดตวงกันอย่างไรข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างสูงว่า

ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นฮีโร่หรือวีรบุรุษซึ่งข้าพเจ้าเป็นไม่ได้อย่างแน่นอนข้าพเจ้าเป็นเยาวชนคนหนึ่งในเหล่าเยาวชนในประเทศไทยและทั่วโลกจำนวนหลายหมื่นแสนล้านผู้ต้องการท้าทายและเปลี่ยนแปลงสังคมของเราให้ดีขึ้น ขอให้ทุกคนกล้าหาญและใช้เหตุผลวิจารณญาณข้าพเจ้าขอถือตนเป็นเพียงอิฐก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าและขอให้ทุกคนมาร่วมกันเดินทางไปด้วยสติปัญญาบนความไม่ประมาท
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ประวัติศาสตร์ที่อยากอธิบาย"
ปลายเดือนนี้ ผมจะออกหนังสือใหม่อีกเล่ม
ชื่อ "ประวัติศาสตร์ที่อยากอธิบาย"
ชื่อ "ประวัติศาสตร์ที่อยากอธิบาย"
ยังไม่มีทุนพิมพ์ใดๆ จะพิมพ์เท่าที่มีผู้สนใจ
ท่านใดสนใจสามารถสนับสนุนได้ตามกำลัง และขอค่าจัดส่ง50บาท ติดต่อทางข้อความเพจ
ท่านใดสนใจสามารถสนับสนุนได้ตามกำลัง และขอค่าจัดส่ง50บาท ติดต่อทางข้อความเพจ
ประสบการณ์การทำหนังสือเล่มเล็กและการต่อสู้ในโรงเรียน
ซึ่งเรื่องครั้งนั้นทำให้ผมกลายเป็นบุคคลที่โรงเรียนมองเป็นภัยตั้งแต่นั้นมา
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ซึ่งเรื่องครั้งนั้นทำให้ผมกลายเป็นบุคคลที่โรงเรียนมองเป็นภัยตั้งแต่นั้นมา
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
หนังสือเล่มนี้ขนาด A5 มีประมาณ 96 หน้าเป็นอย่างต่ำ
ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ อาสาเป็นบรรณาธิการหนังสือให้
คำนิยมโดย กษิดิศ อนันทนาธร เพื่อนร่วมงานและบก.ปาจารยสาร
คำนิยมโดย กษิดิศ อนันทนาธร เพื่อนร่วมงานและบก.ปาจารยสาร
ทุนที่ได้จากการขายหนังสือเล่มนี้ สมทบทุนทำห้องสมุดสันติประชาธรรม
และโครงการอื่นๆของผม ขอบคุณครับ
และโครงการอื่นๆของผม ขอบคุณครับ
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ข้อคิดเห็นต่อพิธีกรรมไหว้ครู รวมถึงเหตุผลที่ข้าพเจ้าไม่เข้าร่วมพิธีกรรมไหว้ครู
1. การไหว้ครูแต่เดิมนั้น เราถือว่าท่านเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ด้วยความทุ่มเทอุตสาหะ และบางท่านก็ให้อย่างเปล่าคือวิทยาทาน
ครูตอนนี้อุทิศทุ่มเทตัวให้กับลูกศิษย์มากแค่ไหน ปัจจุบันครูต้องทำผลงานเพื่อเลื่อนขั้นวิทยฐานะ โครงการสร้างภาพต่างๆ (เช่นโรงเรียนพระราชทาน โรงเรียนพอเพียง) เพื่อให้โรงเรียนได้รับงบประมาณ มากกว่าการสอนนักเรียนเสียอีก อาจกล่าวได้ว่าครูทุกวันนี้ไม่ได้อุทิศทุ่มเทตัวให้กับลูกศิษย์มากเท่าที่ทุ่มเทให้ ชื่อเสียงเกียรติยศ ภาพลักษณ์โรงเรียน หรือ ตำแหน่งทางวิชาการ ทุกวันนี้ครูสอนนักเรียนแบบ ใครเรียนได้ก็เรียน ใครไม่สามารถเรียนก็ปล่อยให้ผ่านๆไป หากให้นักเรียนสอบตกจะมีผลกับการประเมินครู ซึ่งมีผลต่ออนาคตของครูคนนั้น
ครูตอนนี้ต่างอะไรจากกวดวิชา ในเมื่อครูก็ทำแค่กวดวิชา ส่วนลูกศิษย์ก็เข้าไปเรียนเพราะเพื่อสอบ แม้กระทั่งการสอบ O-NET ยังต้องติว แล้วอะไรคือสิ่งที่นักเรียนจะได้รับจากครู
แล้วแบบนี้จะต้องมีการไหว้ครูไปทำไม?
2. การที่ครูได้รับการคารวะ ควรจะมาจากการที่ลูกศิษย์เห็นว่าครูคนนี้สอนดี ทุ่มเทใจรักเขาจึงมาคารวะ ไม่ใช่การบังคับให้คารวะ
ส่วนการหมอบคลานนั้นยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว การหมอบคลานนั้นแสดงถึงการแบ่งวรรณะชนชั้นอย่างชัดเจนว่า คนที่หมอบนั้นอยู่ต่ำกว่า ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนในปัจจุบันไม่ได้มีการแบ่งวรรณะชนชั้นอย่างนั้นเลย ครูที่เป็นครูที่แท้จริง (ที่จะไม่ได้ยึดติดเรื่องอำนาจ สถานะที่เหนือกว่า) เค้าไม่ได้สนใจหรอกว่านักเรียนต้องมาหมอบคลานกราบไหว้ตัวเองเพื่อแสดงความเคารพ เพียงแต่นักเรียนเจอหน้ายกมือไหว้ นักเรียนตั้งใจเรียนในห้อง ไม่พูดคุยกันเสียงดัง ส่งงานให้ครบ ตรงต่อเวลา แค่นี้ก็เป็นการเคารพครูอย่างยิ่งยวดแล้ว ประเพณีกราบไหว้หมอบคลานมีเอาไว้เพื่อสร้างภาพ เพื่อแสดงอำนาจ มากกว่าการให้ความเคารพจริงๆเสียอีก
ถามตัวเราเองเถิดว่า เวลาเราไหว้พ่อแม่ เราต้องหมอบคลานแบบไหว้ครูหรือไม่ ถ้าไม่แล้วทำไมถึงต้องหมอบคลานตอนไหว้ครูด้วย
3. ครูเองก็อยู่ในฐานะมนุษย์ และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมที่จะมีการผิดพลาด (ครูได้เคยคิดหรือไม่ การที่ครูชอบอ้างบ่อยๆว่าตนสอนนักเรียนคนนั้นคนนี้จนได้ดี ก็ยังมีอีกหลายคนที่เกลียดโรงเรียน และไม่ชอบวิชาความรู้ไปตลอดทั้งชีวิตเพราะมาจากครูเช่นกัน) การมาสร้างครูให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพิธีกรรมต่างๆนั้นยังสมควรต่อไปหรือไม่ ทำไมไม่ให้วันครู เป็นวันที่ครูจะสัญญาว่า ครูจะทำหน้าที่ให้ดีที่ สุด ครูก็เป็นมนุษย์เสมอนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกัน เติบโตไปพร้อมกัน ฟังเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์แล้วปรับปรุง
วันไหว้ครูปีนี้ ผมไม่มาโรงเรียน ที่ไม่มาไม่ใช่ไม่รักครู แต่ผมมีเหตุผล
การที่ผมรักใครคนหนึ่ง ไม่ต้องไปหมอบคลาน เราหยอกล้อพูดคุยกันสนุกๆกันได้ตรงไปตรงมา
ครูกับนักเรียนเป็นเสมือนมนุษย์ที่มีผิดมีถูกเรียนรู้ไปด้วยกัน แต่พิธีกรรมดังกล่าวทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคนให้ยกอีกคนสูงกว่าอีกคน (ทั้งยังบังคับด้วย) ผมไม่เคยเห็นพิธีกรรมไหว้ครูที่ครูขอโทษนักเรียนว่าตนได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง และขอให้นักเรียนให้อภัย หรือเป็นการเปิดใจครูต่อนักเรียน ไม่มีที่พิธีกรรมดังกล่าวจะสร้างความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
เราต้องการรักแบบกลัวๆ รักแบบสยบยอมหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ทำ ผมรักครูได้โดยที่ผมเท่ากับครู เรียนรู้แบบคนเสมอกัน
คุรุชนบางคนอ่านบทความนี้แล้วอาจหาว่าผมไม่รักครูก็ขอให้รู้ว่า "ความรักเราไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ เรารักโดยที่เรารักมิใช่หรือ"
แล้วถ้าอ้างประเพณีก็ขอให้รู้ว่า "ประเพณีตั้งอยู่บนความสัมพันธ์อันไม่เท่าเทียม และในเมื่อมนุษย์เป็นคนสร้างประเพณี ใยจะดัดแปลงและเปลี่ยนมันไม่ได้"
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บันทึกนักเรียนคนหนึ่ง “ก่อนถูกควบคุมตัว 10 ชั่วโมง
บันทึกนักเรียนคนหนึ่ง “ก่อนถูกควบคุมตัว 10 ชั่วโมงในเหตุการณ์ 22 พฤษภาคม 2558″
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
วันศุกร์หลังเลิกจากเรียนที่โรงเรียนแล้ว ผมได้ยินข่าวว่ามีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ครบรอบหนึ่งปีรัฐประหาร ประจวบกับ”สยาม” เป็นเส้นทางไปยังสถานที่ทำงานของผมและที่ติวหนังสือซึ่งผมต้องผ่านทีบีทีเอสตรงนั้น ผมเลยตัดสินใจว่าจะแวะไปดูพวกเขาทีแรกแค่จะมาสังเกตการณ์เฉยๆ คิดว่างานนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (มันมีปัญหาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว)แต่เมื่อผมไปถึงแล้ว ประมาณหกโมงเย็นกว่าๆผมได้รับข้อความจากพี่ชายที่มาสอนหนังสือผมว่าให้กลับไม่ต้องมา พี่เขาอยู่ที่นั่น และเหตุการณ์ค่อนข้างอันตราย ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง
ผมเห็นเริ่มมีการล้อมเป็นวงขึ้น และเมื่อผมสอบถามจากคนรอบข้างนั้นคือ พวกเขารวมตัวกันนั่งเป็นวงกลมเพราะว่ามีนักศึกษาบางคนถูกควบคุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ทั้งที่พวกเขามาแสดงออกอย่างสันติวิธี พวกเขาจึงจะนั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะมีการปล่อยตัวเพื่อนของพวกเขาและกลุ่มดาวดินด้วยที่ขอนแก่น
ภาพขณะถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมที่ สน.ปทุมวัน
ผมตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น (แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เล่ามาอีกที) แต่ผมก็ตัดสินใจว่า ผมไม่ไปนั่งคงไม่ได้แล้วอย่างน้อยก็ต้องแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ออกมาแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ทางการมาพูดคุยกับทางกลุ่มของเรา อย่างไรก็ตาม การพูดคุยก็เหลวไป อย่างไรก็ดีผมยังคิดว่าเราต้องมีการทางเจรจากันได้แน่
เราได้มีการร้องเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” (ของจิตร ภูมิศักดิ์) และเพลงเพื่อมวลชน
เราได้มีการร้องเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” (ของจิตร ภูมิศักดิ์) และเพลงเพื่อมวลชน
“ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน ติดปีกบินไปให้ไกลไกลแสนไกล จะขอเป็นนกพิราบขาว เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี…”
แต่ยังร้องไม่ทันจบเพลงเพื่อมวลชนด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจได้เปิดรั้วบุกออกมาอย่างไม่คาดคิด และมีบางคนถูกต่อย ถูกเอาไฟฟ้าช็อตและสี่ห้าคนที่นั่งในวงถูกลากเข้าไปโดยทันที ทันใดนั้นเอง ทหารและตำรวจ กลับไปกระชากตัวพี่ชายผมไป ซึ่งเขาไม่ได้เป็นแค่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่เขาไม่สนใจอะไรเรื่องการเมืองเลยด้วยซ้ำ (คสช ย่อมาจากอะไรพี่เขายังไม่รู้เลย)เขากลับถูกลากเข้าไป จริงๆเขาจะไปซื้อหนังสือกับผมที่สยาม และเขาผ่านไปยืนดูตรงนั้น และเขาพยายามให้ผมออกไปจากที่นั่น พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่ยอมหยุด เพราะเห็นมันไร้เหตุผลที่สุด และการไม่ยอมหยุดของเรา ก็ทำแค่นั่งร้องเพลงเฉยๆเท่านั้น !(ที่ทางเจ้าหน้าก็บอกว่า เพราะเราทำลายกำแพงรั้วเข้ามา นั้นเป็นข้อกล่าวหาที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง เพราะมีเจ้าหน้าที่พยายามมาเจรจากับเราหลายรอบแล้ว กลุ่มเราได้ถามมาตลอดว่า “เราทำผิดอะไร” เจ้าหน้าที่ไม่ยอมชี้แจง และไม่ได้พูดเรื่องรั้วใดๆทั้งสิ้น)
สถานการณ์อันไม่น่าคาดคิดเกิดขึ้น พวกเราที่เหลืออยู่ บางคนร้องไห้ คนที่ถูกไฟฟ้าช็อต โกรธและก่นว่า อย่างไรก็ดีเรายังมีสติดีอยู่และเราจะไม่ถอยออกไป เท่าที่สังเกต พวกเราไม่มีใครก่นด่าว่าหยาบคายต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่เลย เรารู้ว่ามันคือความไม่เป็นธรรม เราไม่ได้ทำผิดอะไรเรายืนยัน แม้ไม่แน่นอนแต่เรายังจับแขนกันไว้แน่นๆ บางคนกำลังประเมินสถานการณ์
ส่วนผมและเพื่อนบางคน ร้องเพลง “We Shall Not Be Moved” (เราจะไม่ไปไหน) :We shall not, we shall not be movedWe shall not, we shall not be movedJust like a tree that’s standing by the waterWe shall not be moved
ส่วนผมและเพื่อนบางคน ร้องเพลง “We Shall Not Be Moved” (เราจะไม่ไปไหน) :We shall not, we shall not be movedWe shall not, we shall not be movedJust like a tree that’s standing by the waterWe shall not be moved
จากนั้นเราทุกคนในวงร่วมร้องเพลง “เพื่อมวลชน” กันอีกรอบ ยังไม่ทันจบดีๆนี่แหละ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเปิดรั้วของเขาออกมา และปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว และทีนี้ก็ถึงตาผม
พวกเขาเข้ามาจับทุกคนในวง ผมกับเพื่อนที่อยู่ติดกันจับมือกันแน่นไม่ปล่อย แต่สุดท้ายเราก็ไม่อาจต้านทานได้ ผมถูกลากตัวเข้าไป รองเท้าข้างหนึ่งของผมหลุดไป บอกว่าจะไม่หนีขอไปเก็บรองเท้าก็ไม่ได้ ผมจึงมีรองเท้าข้างเดียวเหลืออยู่ให้ใส่ เพื่อนผมที่อายุน้อยกว่าผมเรียน กศน. อายุ 16 ปี เจ้าหน้าที่ใช้แขนลัดคอ และลากตัวเข้าไป และยังโยนเขาลงด้วย นักศึกษาธรรมศาสตร์คนหนึ่งถูกลัดคอจนหายใจไม่ออก และเอาเข็มขัดรัดมือ พร้อมทั้งด่าหยาบคาย เราถูกบังคับให้ขึ้นรถตู้ไปสน.ปทุมวัน คนหนึ่งถูกโยนขึ้นไปด้วย เรารวมกันในรอบนี้ 11 คน เป็นนักศึกษา นักเรียนกศน. และพี่รุ่นวัยทำงานซึ่งพวกเขามาเห็นความไม่เป็นธรรมจึงเข้าร่วม เราร่วมกันขึ้นรถตู้ไป สน. ปทุมวันมีเพื่อนเราอีกคนชื่อทรงธรรม เดฟ พี่ผมไม่กี่ปี ถูกลากตัวมาพร้อมเราด้วย แต่เขาไม่ได้ขึ้นรถตู้กับเราหรอกนะครับ เขาถูกเตะ ถูกกระชากลากอย่างรุนแรง และเขาก็เป็นลมไป เราโกรธกันมากเราบางคนคนตระโกนว่า “พวกมึงฆ่าเพื่อนเรา” โชคดีไปที่เดฟปลอดภัย เข้าโรงพยาบาลทัน แต่บาดแผลอะไรยังมีให้เห็นอยู่ และต้องออกค่าใช้จ่ายเองซึ่งแพงพอสมควรเลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเปิดรั้วของเขาออกมา และปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว และทีนี้ก็ถึงตาผม
พวกเขาเข้ามาจับทุกคนในวง ผมกับเพื่อนที่อยู่ติดกันจับมือกันแน่นไม่ปล่อย แต่สุดท้ายเราก็ไม่อาจต้านทานได้ ผมถูกลากตัวเข้าไป รองเท้าข้างหนึ่งของผมหลุดไป บอกว่าจะไม่หนีขอไปเก็บรองเท้าก็ไม่ได้ ผมจึงมีรองเท้าข้างเดียวเหลืออยู่ให้ใส่ เพื่อนผมที่อายุน้อยกว่าผมเรียน กศน. อายุ 16 ปี เจ้าหน้าที่ใช้แขนลัดคอ และลากตัวเข้าไป และยังโยนเขาลงด้วย นักศึกษาธรรมศาสตร์คนหนึ่งถูกลัดคอจนหายใจไม่ออก และเอาเข็มขัดรัดมือ พร้อมทั้งด่าหยาบคาย เราถูกบังคับให้ขึ้นรถตู้ไปสน.ปทุมวัน คนหนึ่งถูกโยนขึ้นไปด้วย เรารวมกันในรอบนี้ 11 คน เป็นนักศึกษา นักเรียนกศน. และพี่รุ่นวัยทำงานซึ่งพวกเขามาเห็นความไม่เป็นธรรมจึงเข้าร่วม เราร่วมกันขึ้นรถตู้ไป สน. ปทุมวันมีเพื่อนเราอีกคนชื่อทรงธรรม เดฟ พี่ผมไม่กี่ปี ถูกลากตัวมาพร้อมเราด้วย แต่เขาไม่ได้ขึ้นรถตู้กับเราหรอกนะครับ เขาถูกเตะ ถูกกระชากลากอย่างรุนแรง และเขาก็เป็นลมไป เราโกรธกันมากเราบางคนคนตระโกนว่า “พวกมึงฆ่าเพื่อนเรา” โชคดีไปที่เดฟปลอดภัย เข้าโรงพยาบาลทัน แต่บาดแผลอะไรยังมีให้เห็นอยู่ และต้องออกค่าใช้จ่ายเองซึ่งแพงพอสมควรเลย
เรื่อง 10 ชั่วโมงในสน เป็นอย่างไรบ้าง ผมอาจจะมาเล่าไว้ในครั้งหน้า แต่คิดว่าข้อมูลส่วนนี้
จะมีหลายคนเขียน เราถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่ม 21 คน 11 คน และ 5 คนแต่ละกลุ่มถูกการเล่นเกมส์ให้เงื่อนไขการปล่อยตัวอะไรที่ต่างกันไป จนวุ่นวายทีเดียวคิดว่าน่าจะมีคนมาเล่าได้ดีกว่าผม
จะมีหลายคนเขียน เราถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่ม 21 คน 11 คน และ 5 คนแต่ละกลุ่มถูกการเล่นเกมส์ให้เงื่อนไขการปล่อยตัวอะไรที่ต่างกันไป จนวุ่นวายทีเดียวคิดว่าน่าจะมีคนมาเล่าได้ดีกว่าผม
ผมไม่กะว่าจะเคลื่อนไหวอะไรหรอกนะครับงานนี้ จะแค่มาดูที่บอกแล้ว คิดว่าจะไปซื้อหนังสือที่คิโนะคูนิยะ จะผ่านไปสักสิบห้ายี่สิบนาที ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า เหตุการณ์มันจะเลวร้ายได้ขนาดนี้ แล้วผมจะทนนิ่งดูดายหรือใครเล่าจะทนกับความป่าเถือนอย่างนี้ได้ ถ้าคนนั้นยังสติดีอยู่แน่ๆมาอย่างสันติ ทำไมถูกทำร้ายอย่างนี้ที่ผมเขียนมานี้ เป็นการเล่าเรื่องราวส่วนตัวและอาจจะตอบโต้ข้อกล่าวหามั่วๆที่ปรากฏในอินเทอร์เน็ตเช่น เราถูกจ้างมา เราถูกจัดตั้งมาก็ได้ เราแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำที่ไปเจอกันอย่างที่ผมเล่าครูสอนพิเศษผมไม่รู้เรื่องก็ถูกจับไปเหมือนกันอยู่กลุ่ม 21 คนที่เขียนมานี้ผมอยากจะเล่าประวัติศาสตร์ของปัจเจกบุคคล และมุมมองหนึ่งของเหตุการณ์ 22 พฤษภาคม 2558และมันคุ้มค่ามากสำหรับนักเรียนคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรอย่างนี้ สิทธิเสรีขั้นพื้นฐานต้องมีจะรออะไร ทำไมให้ผู้ใหญ่มารังแกเราอยู่ได้ ปากเสียงเราอยู่ไหน ผมดีใจที่ได้ร่วมกับพวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ มันทุกข์ใจไม่น้อยที่ถูกควบคุมตัวอย่างยาวนานและตึงเครียด แต่การได้เห็นการตั้งใจดีของพวกเรานักเรียนนักศึกษาคนธรรมดา การเสียสละ การใช้เหตุผล การยืนหยัดในสิทธิความเป็นมนุษย์มันน่าภูมิใจมิใช่หรือ มันคุ้มแล้วต่อที่จะต้องแลกมิใช่หรือ
ภาพขณะนักศึกษากำลังถูกจับกุม
CR: https://netiwitblog.wordpress.com
CR: https://netiwitblog.wordpress.com
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558
เปิดตัวห้องสมุดสันติประชาธรรม เสวนาครูกับนักเรียนโลกคนละใบในโลกใบเดียวกัน


วันที่ 16 มกราคม 2558 เนื่องในวันครู กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทจัดเสวนาและงานเปิดตัวห้องสมุดแห่งใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ในชื่อ หอสมุดสันติประชาธรรม โดยมี ส.ศิวลักษณ์ เป็นประธานในการเปิดห้องสมุดในครั้งนี้ และมีเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาลเป็นพิธีกรงานเสวนาในครั้งนี้ ณ สวนเงินมีมา มูลนิธีเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป

เมื่อเวลา 13.00 น. ชั้น 2ของเรือนร้อยฉนำ ณ สวนเงินมีมา มูลนิธีเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป อาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์เป็นประธานในพิธีเปิดด้วยการเขียนป้ายชื่อหอสมุด สันติประชาธรรมลงบนป้ายผ้า นอกจากนี้มีการบรรเลงเพลงเดือนเพ็ญ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความคิดเห็นที่แตกต่าง ดั่งประวัติของเพลงนี้ที่ผู้แต่งไม่อาจต้องอยู่ประเทศไทยได้เพราะแนวคิดทางการเมือง
ไม่นานนักหลังทำพิธีเปิด ก็มาถึงงานเสวนาในหัวข้อ ครูกับนักเรียน โลกคนละใบในโลกใบเดียวกัน ดำเนินรายการโดย เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท โดยมีวิทยากรมาบอกเล่าเรื่องราวความเป็นครูนักเรียนในมุมมองต่างๆดังนี้ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ปัญญาชนสยาม ,ครูวิษณุ สังข์แก้ว ครูบรรณารักษ์,ครูปราศรัย เจตสันต์ ครูสอนสังคมฯและ ณัฐนันท์ วรินทรเวช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทคนปัจจุบัน ร่วมแลกเปลี่ยนในฐานะนักเรียน
โดยในช่วงเปิดการเสวนาได้มีงานนำคลิปตัวใหม่ที่ทางกลุ่มผู้จัดทำขึ้น เกี่ยวกับการไหว้ครูแนวใหม่มาเปิดเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างมากมายก่อนเริ่มเสวนา(ชมคลิป)
เริ่มโดย เนติวิทย์ ให้อาจารย์สุลักษณ์ เล่าเรื่องราวความเป็นนักเรียนของอาจารย์ทั้งสมัยเรียนที่อัสสัมชัญและที่ประเทศอังกฤษว่าเป็นเช่นไร อาจารย์เล่าว่าในสมัยเรียนนั้นไม่ชอบการเรียนสมัยนั้นเท่าไร เน้นท่องจำ ครูเอาของมาขายบ้างแลกเกรด จนไปเจอครูที่อังกฤษครูทุ่มเทด้วยหัวใจ เป็นแบบอย่าง โดยอาจารย์สุลักษณ์เน้นว่าในปัจจุบันผู้บริหารสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งไทยและต่างชาตินั้นก็ล้วนแต่ใฝ่หาอำนาจด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้อาจารย์ได้พูดถึงการศึกษาว่าไม่ควรแยกครูกับนักเรียน เพราะต่างฝ่ายต้องเรียนรู้ด้วยกันทั้งสิ้น คำว่าครูมาจากครุแปลว่าหนักแน่น คือต้องสอนให้นักเรียนมีหนักแน่น กล้าหาญทางจริยธรรม ไม่ใช่กลัวครูไปหมด

ตามด้วยครูวิษณุ ที่เล่าเรื่องแรงบันดาลใจที่มาเป็นครู ว่ามีครูสมัยเรียนเป็นแบบอย่าง รอสอนหนังสือแม้ตอนดึกหลังเลิกเรียนครูก็รอ จึงทำให้ครูวิษณุตั้งใจอยากเป็นครู ครูวิษณุยังเล่าเรื่องที่โรงเรียนว่าอยากให้นักเรียนมีส่วนร่วมกับกฎเกณฑ์ต่างๆ เรื่องที่มีนักเรียนมาปรึกษาว่าไม่พอใจกฎเรื่องทรงผม หรือกฎที่คนมาสายตั้งถูกลงโทษทั้งๆที่บางครั้งอาจจะเป็นความผิดของคนขับรถโรงเรียน โดยคุณครูวิษณุได้แสดงออกถึงความเป็นครูที่ใจกว้าง และรับฟังปัญหาของนักเรียน สิ่งที่ครูวิษณุยืดถือคือ การไปโรงเรียนแต่เช้า การอยู่ห้องสมุดเสมอเวลากลางวัน และการกลับบ้านทีหลังเพื่ออยู่พบนักเรียนที่มาปรึกษา
ครูปราศรัย จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากครูวิษณุคือ ไม่ได้มาเรียนครูเพราะอุดมการณ์ เรียนเพราะคะแนนถึงจึงเลือกเรียนครู พึ่งจะมาชอบการเป็นครูก็ตอนได้ฝึกสอนและตอนได้สอนจริงๆเพราะรู้สึกสนุก โดยครูปราศรัยเล่าถึงการใช้ความเป็นกันเองกับนักเรียนแต่ก็มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน นอกจากนี้ครูปราศรัยเล่าต่อว่าการเป็นครูในโรงเรียนที่กำลังสร้างขื่อนั้น งานเยอะโดยเฉพาะครูผู้น้อยที่ไม่มีภาระจะมีคำสั่งให้ไปร่วมกิจกรรมมากกมาย ทั้งค่ายธรรม ค่ายคสช. และค่ายลูกเสือเป็นต้น ทำให้เวลาสอนไม่พอ บางห้องไม่ได้เจอเลยติดกันหลายสัปดาห์ แต่ก็ต้องปรับตัวโดยใช้สื่อ ใช้ facebook เข้ามาช่วยในการเรียนการสอนมากขึ้น
ณัฐนันท์ บอกวันครูกับวันไหว้ครูไม่เหมือนกัน แม้กิจกรรมจะคล้ายกันบ้างก็ตาม แต่ก็ชวนตั้งคำถามว่าทำไมกิจกรรม เช่นไหว้ครู ครูถึงเป็นผู้จัดให้นักเรียนมาไหว้ ไม่ใช่นักเรียนตั้งใจจัดเพื่อไหว้ครูที่เคารพ เธอเล่าเรื่องสมัยเรียนว่าสมัยม.ต้นเธออยู่ English program อาจารย์ส่วนมากเป็นอาจารย์ต่างชาติ บรรยากาศในห้องเรียนจึงเต็มไปด้วยการตั้งคำถามและความเป็นกันเองของอาจารย์ ต่างกับม.ปลายที่เธอย้ายเข้ามาเรียนในเตรียมอุดมศึกษา แม้เป็นโรงเรียนที่คัดหัวกะทิมา แต่ทุกครั้งที่เธอตั้งคำถามก็มักจะถูกมองแปลกๆ หลายๆครั้งเธอเลยไม่พยายามโดดเด่นในห้องเรียนนักแต่ใช้เวลาอ่านหนังสือเองจากภายนอก

หลังจบงานเสวนาหลายท่านถ่ายรูปต่อกับวิทยากรและพูดคุยกับวิทยากรอย่างเป็นกันเองก่อนแยกย้ายกันกลับในเวลา 16.00 น.
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เนติวิทย์เขียนจดหมายถึงปลัด ศธ. - เตือนอย่าวางยาพิษการศึกษาไทย
Tue, 2014-07-15 19:16
เนติวิทย์เขียนถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความไม่เห็นด้วยที่กระทรวงศึกษาธิการขานรับนโยบายคณะรัฐประหาร รวมทั้งเรื่องบรรจุการร้องเพลงปลุกใจ แก้ไขตำราเรียนประวัติศาสตร์ การนำค่านิยมที่พึงประสงค์ของ คสช. มาบรรจุในแผนปฏิรูปการศึกษา "นี่มิใช่การทำให้การศึกษาไทยย้อนหลังไปในสมัยรัฐบาลเผด็จการที่ผ่านมาละหรือ"
โดยรายละเอียดของจดหมายมีดังนี้
จดหมายเปิดผนึก
15 กรกฎาคม พ.ศ.2557
15 กรกฎาคม พ.ศ.2557
เรียน นางสุทธิศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง ขอให้ท่านทบทวนนโยบายการศึกษา อย่าวางยาพิษให้กับการศึกษาไทยและนักเรียนไทย
เรื่อง ขอให้ท่านทบทวนนโยบายการศึกษา อย่าวางยาพิษให้กับการศึกษาไทยและนักเรียนไทย
กระผมมีความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การปฏิรูประบบการศึกษาไทยในขณะนี้ แม้ว่าในช่วงนี้ผมจะไม่ได้ศึกษาอยู่ที่ประเทศไทยก็ตาม อย่างไรก็ตามผมยังคงสภาพความเป็นนักเรียนและผมเองก็ได้ผ่านประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจหลายอย่างของระบบการศึกษาไทยซึ่งหลายเรื่องจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปทันทีอาทิ การคิดวิเคราะห์ตั้งคำถาม, ชั่วโมงในห้องเรียน และอำนาจนิยมของครูของฝ่ายบริหาร เป็นต้น ทั้งผมเองและเพื่อนนักเรียนนักศึกษาอีกจำนวนมากก็เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องมิได้นิ่งเฉย เช่นเดียวกับภาคประชาชนอื่นๆ ดังท่านน่าจะจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมและเพื่อนเคยไปยื่นข้อเสนอปฏิรูปการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการ สมัยนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นรัฐมนตรีฯ ขณะนั้นท่านพึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งปลัดฯไม่ครบเดือน ท่านออกมารับหนังสือแทน อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทางกริยาของท่านก็บ่งบอกชัดเจนว่าท่านเห็นพวกเรานักเรียนนักศึกษาที่มายื่นข้อเสนอเป็นอย่างไร ผมยังจำได้ดี อย่างไรก็ตามผมไม่ขอเอ่ยในที่นี้
ดังกล่าวมาข้างต้นแล้วว่ากระผมรู้สึกเป็นห่วงยิ่งต่อสถานการณ์ปฏิรูปการศึกษาในขณะนี้อย่างมาก แม้ว่านักวิชาการ นักการศึกษาบางคนจะเห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีก็ตาม แต่เหตุใดผมถึงรู้สึกเช่นนี้ละหรือก็เพราะเราย่อมทราบจากการเรียนอยู่แล้วว่า รัฐเผด็จการย่อมมิต้องการให้คนคิดคนกล้าแสดงออกต่อต้านพวกเขา พวกเขาจะพยายามทำให้คนยอมรับและอยู่ภายใต้อำนาจของเขา สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยการปกครองยุคเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถนอม กิตติขจร กระผมไม่คิดว่าในวันนี้จะเกิดขึ้นอีก แต่ก็ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ขณะนี้ประเทศไทยถูกปกครองโดยระบอบทหารกระทรวงศึกษาธิการเองซึ่งท่านเป็นรักษาการรัฐมนตรีฯอยู่นั้นก็ออกมาขานรับให้ทุกโรงเรียนปฏิบัติเช่น การร้อง การฟังเพลงปลุกใจในโรงเรียน เป็นต้น ในระดับนโยบายเช่นแก้ไขวิชาประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับความคิดของ คสช, การนำค่านิยมคนไทยที่พึงประสงค์ฉบับคณะรัฐประหารมาปัจจุบันมาบรรจุในแผนปฏิรูปการศึกษาไทย เป็นต้น นี่มิใช่การทำให้การศึกษาไทยย้อนหลังไปในสมัยรัฐบาลเผด็จการที่ผ่านมาละหรือ ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงสมัยแห่งเทคโนโลยี ความเป็นสมัยใหม่รวมถึงหลังสมัยใหม่แล้วด้วยซ้ำ กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเสริมและพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นมิใช่หรือ ใยกลับออกนโยบายเพื่อให้นักเรียนไทยย้อนกลับไปในยุคก่อนสมัยใหม่ ก่อนหน้าประชาธิปไตย ไม่ต้องคิดอ่าน และยัดเยียดพวกเขาให้เชื่อฟังทำตามอย่างเดียวหรือ กระทรวงศึกษาธิการ ถ้าท่านและคนที่อยู่ในกระทรวงฯ เป็นคนมีความคิดความอ่านก็น่าจะถอยออกจากนโยบายที่ผิดพลาดนี้ ไม่ทำตัวเป็นคุณแม่รู้ดีว่า นักเรียนต้องอย่างนี้อย่างนั้นตามท่าน ให้พวกเขาสามารถมีความคิดความอ่านเป็นตัวของตัวเองบ้าง
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าท่านเองก็คงรู้และรู้สึกไม่ค่อยดีกับการขานรับตามนโยบายคณะรัฐประหารอย่างออกหน้าออกตา โดยท่านอาจคิดว่าเป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านาย แต่โปรดคิดด้วยว่า นโยบายที่ท่านได้ขานรับ ได้ประดิดประดอยเอาใจคณะรัฐประหารนั้นเป็นการทำลายคุณค่าของนักการศึกษาที่ท่านอ้างว่าตัวเองเป็น เป็นการทำลายนักเรียนนักศึกษาในขณะนี้และอนาคต และสิ่งที่ท่านพูดต่อไปเช่น เด็กไทยมีปัญหาเรื่องการคิดตั้งคำถาม การเป็นตัวของตัวเอง เป็นต้น คำพูดเหล่านี้ก็จะกลับมาทำร้ายตัวท่านเอง เพราะท่านไม่มีหลักการทางการศึกษา และสร้างพิษร้ายให้เด็กไทย ในส่วนการเป็นข้าราชการนั้น ถ้าเดินตามลมตามคำสั่งซึ่งมาจากเผด็จการนั้น ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน คุณค่าในการทำงานของตนเองอยู่ที่ไหน
ขอให้ท่านปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โปรดพิจารณาสิ่งที่ผมได้กล่าวไว้ในที่นี้อย่างตรึกตรองยิ่ง การลาออกจากตำแหน่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่าน แม้ตำแหน่งนี้จะสูงค่าสูงส่ง แต่การมีความกล้าหาญทางจริยธรรมทำในสิ่งที่ถูกต้อง รักษาจุดยืนในทางคุณธรรม สำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคน ทุกการกระทำการตัดสินใจของท่านมิได้ส่งผลต่อท่านคนเดียวหรือในกระทรวงฯ โปรดตราไว้ แต่รวมถึงคนรุ่นใหม่ นักเรียนนักศึกษาไทย รวมถึงคนรุ่นอนาคตด้วย
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งยวด
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐอินเดีย
ปัจฉิมลิขิต: ผมมีความเชื่อมั่น และความหวังอย่างมากที่ท่านจะตอบจดหมายของผม มิใช่ว่าท่านต้องลดความสูงส่งของตนมาตอบแต่เป็นมารยาทที่พึงทำอยู่แล้ว ดังก่อนหน้านี้ผมส่งจดหมายถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ดี รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในอดีตก็ดีล้วนตอบจดหมายผมทั้งนั้นจะสั้นจะยาวมีสาระหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ไม่นานนี้ผมเขียนจดหมายถึงหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. แม้เขาจะไม่เห็นด้วยหรือเห็นแย้งกับผม แต่เขาไม่ไยดีจะตอบจดหมายเอาเลย โดยทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ รวมถึงการมาสู่ชนชั้นปกครองที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน มิได้ทำให้เขาตระหนักหรือว่าเป็นมารยาทอันพึงมี
วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557
องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
ขอทราบจุดยืนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอื่นๆ ต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
7 เมษายน
2014 เวลา 20:22 น.
pridisewa@gmail.com
17 เมษายน
2557
เรียน ศาสตราจารย์กิตติคุณ
อมรา พงศาพิชญ์ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทุกท่าน
เรื่อง แสดงความเห็นและขอทราบจุดยืนขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
ในที่สุดถ้าองค์กรดังกล่าวบังเกิดได้ (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีของสาธารณชนแล้ว)
ย่อมทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ตกอับด้านการถกเถียงกันอย่างมีสติปัญญามีเหตุมีผล
และอาจนำไปสู่การฆ่าฟัน โดยอาจจะซ้ำรอยเหตุการณ์สังหารโหด 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2519 ก็ยังได้
องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ
จะสามารถนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้ละหรือ หรือจะรอท่าทีอีกอย่างไร สมควรแสดงมติออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนในการยืนหยัดข้างสิทธิมนุษยชนมิใช่หรือ
อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเสียงแห่งมโนธรรม เป็นหน้าที่ที่ได้ทำแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองไทย
เยาวชนไทยจะนิ่งเฉยให้สังคมดิ่งลงสู่ความมืดมิดได้ละหรือ ไม่เป็นห่วงไม่เป็นกังวลต่อเรื่องดังกล่าวย่อมนี้ไม่ได้
จึงได้เขียนมาด้วยความกังวลใจ และขอให้องค์กรของท่านโปรดแสดงจุดยืนให้ประจักษ์ชัดแจ้ง
ด้วยความเคารพนับถือ
(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)
และ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและเทศ
อันเนื่องมาจากมีข่าวว่าจะมีการวางแผนจัดตั้ง
องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน โดยแรกเริ่มมาจากเฟซบุ๊กของ พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งองค์กรดังกล่าวไม่ได้ต้องการเก็บขยะนำไปรีไซเคิล
หรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันเป็นสิ่งควรอนุโมทนาแต่อย่างใด หากองค์กรดังกล่าวเป็นไปเพื่อต้องการกวาดล้างเอากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่นงานประชาชน
โดยเห็นว่าคนที่คิดต่างจากพวกพ้องของตนเป็นขยะ เป็นสิ่งที่ควรกวาดล้างออกไป เพียงแค่ชื่อองค์กรก็เห็นอย่างชัดเจนถึงการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว
แลเนื้อหาสาระที่เขานำเสนอมานั้นก็เป็นไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังกัน (ตั้งรางวัลให้)
การมุ่งร้ายกัน (การลงทัณฑ์ทางสังคม) และปิดกั้นซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
7 เมษายน
2014 เวลา 20:22 น.
pridisewa@gmail.com
17 เมษายน
2557
เรียน ศาสตราจารย์กิตติคุณ
อมรา พงศาพิชญ์ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทุกท่าน
เรื่อง แสดงความเห็นและขอทราบจุดยืนขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
ในที่สุดถ้าองค์กรดังกล่าวบังเกิดได้ (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีของสาธารณชนแล้ว)
ย่อมทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ตกอับด้านการถกเถียงกันอย่างมีสติปัญญามีเหตุมีผล
และอาจนำไปสู่การฆ่าฟัน โดยอาจจะซ้ำรอยเหตุการณ์สังหารโหด 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2519 ก็ยังได้
องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ
จะสามารถนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้ละหรือ หรือจะรอท่าทีอีกอย่างไร สมควรแสดงมติออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนในการยืนหยัดข้างสิทธิมนุษยชนมิใช่หรือ
อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเสียงแห่งมโนธรรม เป็นหน้าที่ที่ได้ทำแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองไทย
เยาวชนไทยจะนิ่งเฉยให้สังคมดิ่งลงสู่ความมืดมิดได้ละหรือ ไม่เป็นห่วงไม่เป็นกังวลต่อเรื่องดังกล่าวย่อมนี้ไม่ได้
จึงได้เขียนมาด้วยความกังวลใจ และขอให้องค์กรของท่านโปรดแสดงจุดยืนให้ประจักษ์ชัดแจ้ง
ด้วยความเคารพนับถือ
(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)
และ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและเทศ
อันเนื่องมาจากมีข่าวว่าจะมีการวางแผนจัดตั้ง
องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน โดยแรกเริ่มมาจากเฟซบุ๊กของ พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งองค์กรดังกล่าวไม่ได้ต้องการเก็บขยะนำไปรีไซเคิล
หรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันเป็นสิ่งควรอนุโมทนาแต่อย่างใด หากองค์กรดังกล่าวเป็นไปเพื่อต้องการกวาดล้างเอากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่นงานประชาชน
โดยเห็นว่าคนที่คิดต่างจากพวกพ้องของตนเป็นขยะ เป็นสิ่งที่ควรกวาดล้างออกไป เพียงแค่ชื่อองค์กรก็เห็นอย่างชัดเจนถึงการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว
แลเนื้อหาสาระที่เขานำเสนอมานั้นก็เป็นไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังกัน (ตั้งรางวัลให้)
การมุ่งร้ายกัน (การลงทัณฑ์ทางสังคม) และปิดกั้นซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
ข้อสงสัยและความห่วงใยจากนักเรียนคนหนึ่ง
เรียน ลุงกำนัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส และคณะ
เรื่อง ข้อสงสัยและความห่วงใยจากนักเรียนคนหนึ่ง
กำนันสุเทพที่เคารพ กระผมนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนมัธยม ม.5 คนหนึ่งที่สนใจและศึกษาข่าวสารทางการเมืองคนหนึ่ง มีความเป็นห่วงอย่างแรงกล้าต่อวิกฤติบ้านเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งมันรุนแรงมากและมีการเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้นแล้ว กระผมเห็นว่าลุงกำนันเป็นส่วนสำคัญของวิกฤติครั้งนี้ด้วย กระผมจึงปรารถนาเขียนจดหมายถึงลุงกำนันด้วยความเคารพ พร้อมตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นอันระคนไปด้วยความรู้สึกห่วงใยอย่างแรงกล้า ลุงกำนันจะพอใจหรือไม่ก็ตามแต่กระผมรู้สึกกังวลใจต่อบ้านเมืองจริงๆ
๑) กระผมมีความสงสัยมาตลอดว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของลุงกำนันมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ ต้องการอะไรกันแน่ มันเป็นความสงสัยอย่างแรงกล้าที่ไม่อาจปิดบังได้เลย ลุงกำนันออกมาเรียกร้องคัดค้านพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ผมซึ่งติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็เข้าใจและเห็นด้วยว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง แต่เมื่อรัฐบาลได้ถอนร่างออกแล้ว เหตุใดการเคลื่อนไหวจึงยังไม่ยุติซ้ำยังมีความรุนแรงมากขึ้นเสียอีก ลุงกำนันก็เคยบอกเองว่าจะจบวันนั้น วันนี้ เป็นครั้งสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่าให้เร็วที่สุด เข้าใจว่าพูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ เหตุใดยืดเยื้อยาวนานถึงบัดนี้
๒) ดังที่กระผมได้กล่าวถามไปแล้วว่า “มีความต้องการอะไรกันแน่” ลุงกำนันอาจจะตอบผมว่าก็ดูที่ตำแหน่งห้อยท้ายของลุงสิ ลุงกำนันกำลังจะทำการปฏิรูปให้นำไปสู่ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” แต่ผมก็เกิดความสงสัยว่า วิธีการของลุงกำนันและมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของลุงกำนันจะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้จริงละหรือ กปปส.ของลุงกำนันเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แต่สภาปฏิรูปของลุงเสนอให้มี 75 เปอร์เซ็นต์มาจากการแต่งตั้ง และ 25 มาจากการเลือกตั้ง ลุงกำนันยังเคยเสนอให้ทหารออกมาทำการรัฐประหาร ลุงกำนันยังได้แสดงทัศนะและทำการขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น ลุงรู้หรือไม่ว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิเสียงของคนจำนวนมากของประเทศนี้เช่นกัน เขาก็เป็นประชาชน ลุงกำนันก็เป็นประชาชน ต่างก็ต้องอยู่ในกติกาที่เคารพซึ่งกันและกันมิใช่หรือ ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ลุงกำนันทำมันเป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติจริงหรือไม่ หรือเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยที่ลากตั้งกันและอวดอ้างว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
๓) กระผมทราบว่ามีนักวิชาการบางคนเรียกลุงกำนันและขบวนการ ว่าเป็นดั่งมหาตมะคานธี เป็นเหมือนสาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ กำนันสุเทพอาจจะรู้สึกดีใจจนตัวลอยกับถ้อยคำของนักวิชาการพวกนี้ก็ได้ แต่พวกเขาพูดจริงละหรือ ถ้อยความดังกล่าวมันเป็นการยกยอปอปั้นหลอกลวงกำนันสุเทพหรือเปล่า เป็นที่เข้าใจกันดีว่า มหาตมะคานธีเป็นแบบอย่างสำคัญของการใช้อหิงสา แต่สิ่งที่มหาตมะคานธีกระทำนั้นมิใช่เป็นเพียงลมปากที่พ่นออกมาเท่านั้น อหิงสาของคานธีประกอบไปด้วยความรักและสัจจะ อหิงสาของคานธีมาควบคู่กับสิ่งที่เรียกว่าสัตยาเคราะห์ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Truth Force – The power of Truth) คือการใช้สัจจะเป็นอาวุธใช้ความรักความเข้าใจพิชิตความโกรธความเกลียดชัง ขบวนการและตัวลุงกำนันเดินตามทางนี้ละหรือ
๔) ถ้าคุณสุเทพเดินตามขบวนการแห่งอหิงสาวิธีดังที่นักวิชาการบางคนสรรเสริญยกยอ แล้วถ้อยความที่ว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยทำคือทุจริตคอร์รัปชั่นตลอดชีวิตนักการเมือง” หลุดออกจากปากของลุงกำนันได้อย่างไร ทั้งๆที่ก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าลุงกำนันได้กระทำอะไรไว้บ้าง ใยต้องหลอกลวงตัวเองและคนอื่นด้วย ในอัตชีวประวัติของมหาตมะคานธี (หมายถึง “The Story of My Experiments with Truth) เขียนโดยตัวเขาเองก็มิได้มุสาวาทต่อสิ่งที่เขาได้เคยทำผิดไว้เลย ลุงกำนันโปรดพิจารณาดูเถิด ขบวนการของลุงกำนันและตัวลุงมีพร้อมด้วยสัจจะไหม มีพร้อมด้วยความรักต่อเพื่อนมนุษย์ไหม คนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของลุงกำนันกลายเป็นว่าเป็น “ขี้ข้าระบอบทักษิณ” เป็น “ควายแดง” ทำไมลดทอนศักดิ์ศรีและเหมารวมกันเยี่ยงนี้ ผมยังรู้สึกเศร้าใจบ่อยครั้งเมื่อฟังเวทีปราศรัยของคุณลุงที่เต็มไปด้วยคนที่มีการศึกษา แต่ด้อยสติปัญญาและให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ มีนายแพทย์พูดจาอย่างน่าบัดซบ (ทำรีแพร์ให้นายก) มีอาจารย์มหาวิทยาลัยหยาบคาย (ล่อเพื่อชาติ) เป็นต้น มันน่าปวดใจมากที่เยาวชนและประชาชนต้องฟังคำหยาบคายหยามหมิ่นมนุษย์ด้วยกันแม้เขาจะเป็นตำแหน่งไหนๆก็ตาม จากผู้ที่อวดอ้างเรียกตัวเองว่ามีการศึกษาเป็นคนดีมีศีลธรรมอันอวดอ้างทั้งหลายมันน่าเจ็บใจจริงๆ แลการปลุกระดมคนไปคัดค้านขัดขวางสิทธิเลือกตั้ง มิใช่เป็นการต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือ
สิ่งที่ผมถามลุงกำนันไป และแสดงความเห็นอันห่วงใยกังวลนี้ ผมหวังว่าลุงกำนันจะตอบผม ผมเขียนด้วยความหวังดีเป็นกัลยาณมิตรต่อลุงกำนัน แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับลุงกำนัน แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กระผมรักและหวังดีกับลุง กระผมรู้สึกและเห็นประจักษ์แล้วว่าการศึกษาสูงในระบบไม่ใช่ว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ จากการเล่าเรียนอันน้อยนิดของผมก็รู้ว่า ขบวนการที่โกรธเกลียดเหยียดหยามหมิ่นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่อาจนำไปสู่ประชาธิปไตยได้ มันรังแต่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลุงกำนันรู้ไหมการดื้อรั้นที่จะ “ปฏิรูป” ของลุงกำนัน อันไม่มีรูปธรรมชัดเจนและปลุกปั่นด้วยความเกลียดชัง มันนำไปสู่ความรุนแรงมากแค่ไหนแล้ว ในส่วนของโรงเรียน ตอนนี้มีกี่แห่งแล้วที่ประสบเหตุไปเรียนไม่ได้ และนักเรียนไปเรียนด้วยความเสี่ยงในอันตราย
ผมไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าอย่างไร ความรุนแรงจะสงบไหม ถ้าลุงกำนันยังดื้อรั้นในวิธีการแบบนี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ผมหวังเสมอแม้มันอาจริบรี่ อยากให้สังคมของเราปฏิรูป แต่มันต้องไปในทางประชาธิปไตย เป็นไปในทางสันติประชาธรรม มีขันติ มีกติการ่วมกัน ยึดมั่นเคารพศักดิ์ศรีเพื่อนมนุษย์ ขอให้สำเร็จเถอะ
ด้วยรักและห่วงใย
(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)