วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำสารภาพของนักเรียนผู้มีทัศนะอันรุนแรง



ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนคนหนึ่งซึ่งหลายคนไม่ชอบหน้า หมั่นไส้รังเกียจและเห็นว่าขวางโลก การกล่าวเช่นนี้คงไม่เกินเลยความจริงไปเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดอ่านเขียนไม่ตรงกับที่กระแสสังคมยอมรับนี่ก็อาจรวมไปถึงกริยามารยาทของข้าพเจ้าด้วยต้องยอมรับในเรื่องนี้ว่าข้าพเจ้ามีปัญหาคือเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจะดัดจริตก็ได้ไม่นานเวลาพูดก็พูดเหมือนอยู่ที่บ้านและที่ไหนๆแต่ข้าพเจ้าก็คงจะต้องยอมเปลี่ยนหรือเพิ่มความสุภาพให้มากขึ้นกระมังหาไม่แล้วผลลัพธ์ในทางดีจะมีไม่มากและหนังสือพิมพ์อย่างที่อ.ป๋วยว่าสื่อมวลสัตว์ ไม่ใช่ สื่อมวลชน ก็คงไปพาดหัวและตัดต่อคลิปมาอย่างสั้นๆอีกข้าพเจ้าเป็นนักเรียนผู้ได้รับฉายานักเรียนผู้มีทัศนคติอันรุนแรงและอันตรายมาแต่มัธยมปีที่สองแล้วซึ่งจริงๆข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ได้อันตรายอะไรเลยแต่ในสังคมไทยจะมองอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ที่ข้าพเจ้ามาเป็นเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากการที่ได้อ่านหนังสือได้ศึกษาความคิดอีกด้านมุมหนึ่งของสังคมกระแสหลักข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องเสรีภาพทางความคิดและที่ข้าพเจ้ากระทำไปในโรงเรียนนั้นไม่มีทางที่จะมีผลดีแต่อย่างเดียวหากย่อมต้องมีผลเสียเป็นธรรมดาอยู่ที่ท่านจะพิจารณาส่วนไหนวัดตวงกันอย่างไรข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างสูงว่า

การศึกษาไทยกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านคือเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศเต็มที่และความรู้ก็หาได้ไม่ยากอีกต่อไปการศึกษาในโรงเรียนจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาวการณ์โลกการรับฟังความเห็นที่แตกต่างเป็นสิ่งธรรมดา การถกเถียงในเรื่องต่างๆเพราะทุกอย่างเข้าใกล้เรามากขึ้นโลกแคบลง ข้าพเจ้าจึงมีทัศนะว่าโรงเรียนในบัดนี้เป็นสิ่งที่ตายแล้วซึ่งคนที่พูดเช่นนี้หาใช่ข้าพเจ้าเป็นคนแรกเริ่มไม่นักปรัชญาการศึกษาทั่วโลกจำนวนหลายท่านต่างก็ได้วิเคราะห์วิพากษ์มาแล้วทั้งสิ้นข้าพเจ้าในฐานะนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนและบุคคลผู้หนึ่งในระบบการศึกษาไทยเมื่อเห็นเช่นนี้จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดสภาพการณ์มีชีวิตที่สดใสขึ้นมาอีกครั้งโดยเสรีภาพทางความคิดความอ่านจะเป็น    ตัวกระตุ้นให้ความอุดมทางปัญญาบังเกิดขึ้นขออ้างคำของศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ท่านกล่าวว่า

เสรีภาพเป็นเนื้อดิน อากาศ และปุ๋ยที่จะทำให้พฤกษชาติแห่งความคิดเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ และเมื่อความคิดนำไปสู่อุดมคติอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลในสังคมใช้ความคิดอย่างเสรีปราศจากพันธนาการของจารีตประเพณีหรืออีกนัยหนึ่ง เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์แต่ละคนใช้ความคิดอย่างมีเสรีภาพชนิดที่ไม่ต้องพึงหวาดหวั่นว่าจะเป็นความคิดนอกลู่นอกทาง
เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์แต่ละคนใช้ความคิดอย่างมีเสรีภาพชนิดที่ไม่ต้องหวาดหวั่นจะเป็นความคิดนอกลู่นอกทางนั่นแหละจึงจะเป็นการสนับสนุนอุดมคติให้เกิดขึ้นได้ แม่น้ำลำห้วยยังเปลี่ยนแนวเดินได้สมองมนุษย์อันประเสริฐจะแหวกแนวบ้างมิได้หรือ
ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่งเท่านั้นที่ต้องการแสวงหาคำตอบของจุดหมายชีวิตข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะต้องเรียนไปเพื่อการสอบเท่านั้นดังที่เป็นอยู่การเรียนรู้ควรเป็นไปเพื่อการเติบโตของเรา สังคม และโลกที่ดีกว่านี่เป็นปณิธานข้อสำคัญซึ่งเยาวชนจำนวนมากอาจไม่คิดเช่นนี้แต่ข้าพเจ้าก็ขอมีอุดมคติของตนเองบ้างและอุดมคติของข้าพเจ้าก็ต้องมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า “ Moral Courage” หรือความกล้าหาญทางจริยธรรมเมื่อเราเห็นสิ่งไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะกับสมัย เราในฐานะนักเรียน ซึ่งมหาตมะคานธีเรียกนักเรียนนักศึกษาว่า “
ผู้แสวงหาสัจจะ”พึงกระทำก็คือเข้าไปร่วมในการใช้สติปัญญาวิพากษ์วิจารณ์เป็นปัญญาแห่งสังคมสิ่งที่ข้าพเจ้าทำไม่ได้แปลกใหม่เลยและการที่ข้าพเจ้าฝ่าฝืนที่จะเห็นด้วยกับกฎที่เขาตรานั้นคนอย่าง เนลสัน มันเดลาก็ดีมหาตมะคานธีก็ดี สตีปจ๊อปก็ดีหรืออย่างคนไทยที่นอกกรอบมาเช่น หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ก็ดี นายปรีดี พนมยงค์ก็ดี หรือพุทธทาสก็ดีความคิดของพวกเขาเหล่านี้ถูกมองจากสังคมในตอนแรกว่ารุนแรงและสวนกระแสสังคมบ้าบิ่นไร้ประโยชน์ทั้งยังท้าทายผู้มีอำนาจผู้ตรากฎแต่สุดท้ายแล้วความคิดของพวกเขาก็เริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นหรือไม่ใช่ จนบางทีกลายมาเป็นกระแสหลักไปเลยในปัจจุบันข้าพเจ้าหาได้ทำความแปลกประหลาดไป
แต่ในสังคมไทยของเรานี่ยังไม่ยอมรับอาจจะเพราะระบบการศึกษาก็ดี ระบบเศรษฐกิจก็ดี ระบบวัฒนธรรมก็ดีติดกับมรดกเผด็จการมากกว่าใดอื่นที่เราเชื่อกันว่ามันของดีนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเราขาดความเข้าใจในทางประวัติศาสตร์กันไปด้วยโดยยกว่าเป็นของเก่าการเถียงหรือการเตือน การวิจารณ์ ต้องเฉพาะผู้ใหญ่ทำกับเด็กเท่านั้นข้าพเจ้าคิดว่าไม่ใช่เลย มีตัวอย่างเช่นพระยาอุดรธานี ซึ่งเป็นเลขานุการในเจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าพระยาฯถูกในหลวงรัชกาลที่๖โจมตี เพราะท่านไม่ได้ไปเฝ้าพระองค์ท่านพระยาอุดรธานีก็แนะให้เขียนหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แล้ว“ท่านอึ้งไป พอรุ่งขึ้นมากระทรวง ท่านคำตามคำเสนอของผมทั้งหมด และพูดว่า พ่อตั้งแต่นี้ไป ที่นี่ถือว่าพ่อเป็นกัลยาณมิตร”ข้าพเจ้าคิดว่าคนโบราณนั้นไม่ถือในศักดิ์ศรีในเกียรติศักดิ์ในวัยวุฒิมากกว่าความถูกต้องความสมเหตุสมผล และการใช้สติปัญญาถกเถียงกันคนอย่างสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลพระจอมเกล้า เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระปิยมหาราชก็ยังมีจดหมายโต้ตอบกับพระยาอนุมานราชธนซึ่งเป็นลูกจีนธรรมดาสามัญไม่ใช่เจ้านายราชวงศ์แถมการศึกษาก็เพียงมัธยมเท่านั้นแล้วการมาถกเถียงกันอย่างมีสติปัญญาของคนสมัยใหม่อย่างพวกเรานั้นจะเป็นไปมิได้เลยหรืออันความรู้คนเราย่อมรู้กันไปไม่เหมือนกันและเก่งกันไปไม่เสมอการที่เราคุยกันแลกเปลี่ยนกันถกเถียงอย่างจริงจังนั้นหาใช่สิ่งที่สังคมไทยควรจะยอมรับละหรือ คนอย่างไอสไตน์ก็ใช่จะรู้ทุกเรื่องเขาก็ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และคุยกับนักตลกอย่างชาลี  แชปลินก็สังคมอุดมแห่งปัญญา คนในสังคมควรเป็นกัลยาณมิตรกันใช่หรือไม่คนอย่างไอสไตน์มิใช่มีความรู้แต่ไม่กระทำการใดและเขาก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับในสังคมแต่แรกไม่เขาต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนมากมายและกว่าที่จะเป็นยอมรับในผลงานจนได้รางวัลโนเบลนั้นก็หาว่าจะไม่มีเสียงคัดค้านไอสไตน์เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับโรงเรียนของเขาและการศึกษาว่า
–                   – ถ้าเทียบกับช่วงเวลา 6ปีที่่โรงเรียนมัธยมแบบเผด็จการในเยอรมนีโรงเรียนนี้ทำให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า การศึกษาที่เน้นการเรียนการสอนอย่างเสรี และความรับผิดชอบส่วนตัวดีกว่าการศึกษาที่อาศัยอำนาจจากภายนอกมากแค่ไหน
–                   – การเข้าใจเชิงมโนทัศน์เป็นวิธีการสอนที่แท้จริงและจำเป็นในการพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องการเรียนเรื่องตัวเลขและภาษามีความสำคัญรองลงไป
–                   – ความเห็นเชิงแย้งของนักเรียนควรได้รับการพิจารณาเยี่ยงมิตรการสั่งสมความรู้ไม่ควรเป็นอุปสรรคยับยั้งเสรีภาพของนักเรียน
โรงเรียนในอุดมคตินั้นหาใช่เป็นไปไม่ได้เลยและกว่าการศึกษาของแต่ละประเทศอย่างเช่น เยอรมันหรือประเทศแถบสแกนดิเนเวียจะเจริญมาได้นั้น ก็เพราะมีนักเรียนนักศึกษาและครูผู้ปกครองมีความคิดความอ่านและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากข้างบนและข้างล่างเป็นไปไม่ได้เลยว่าสังคมไทยจะก้าวไปไม่ถึงหากพวกเรารับฟังกันให้มากและลดการใช้อำนาจลงข้าพเจ้ามีความเห็นใจครูและนักเรียนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมากในเงินที่น้อยและนักเรียนก็มิอาจแสวงหาว่าอะไรคือชีวิต และชีวิตเราอยู่เพื่ออะไร เพื่อกินเพื่อกาม เพื่อเกียรติเท่านั้นละหรือ
ข้าพเจ้ามิได้เป็นนักเรียนที่เก่งกล้าไปอย่างใด ไม่เลยข้าพเจ้าเป็นเพียงหนึ่งในนักเรียนอีกจำนวนหลายร้อยหลายพันที่ยืนหยัดในทัศนะของตนและเชื่อหวังในการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นไปเพื่อนักเรียนและครูและสังคมที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตามความเชื่อความอ่านที่ตนได้ถกเถียงได้แย้งกันความคิดข้าพเจ้าจะดูเขลาไปหรือไม่ก็แล้วแต่ท่านพิจารณา ท่านอาจคิดว่ามันดูเหมือนเป็นอุดมคติเกินไปใช่หรือไม่หลายท่านอาจบอกว่า อุดมคติกินไม่ได้ ศาสตราจารย์ป๋วย ให้ข้อคิดกับเราได้ว่า
เราท่านมักได้ยินเสมอว่า “อุดมคติกินไม่ได้” คันปากนัก อยากจะตอบเสียเหลือเกินว่า ใครเล่าบ้าพอที่จะกินอุดมคติหรือมิฉะนั้นก็มีผู้กล่าวว่า “ไอ้ที่คุณคิดนั่นมันเป็นอุดมคติแต่ปฏิบัติไม่ได้”ต้องตอบว่า สิ่งที่ดีนั้นปฏิบัติยาก ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้ต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ สิ่งที่เลวนั้นปฏิบัติง่ายสักปานใด ก็ดีขึ้นมาไม่ได้
ข้าพเจ้าอยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับฟังเยาวชนให้มากและเปิดกว้างทางความคิดโดยอย่าติดกับกรอบหรือวัยวุฒิหรือคุณวุฒิที่ตนเห็นว่าเหนือกว่ามิฉะนั้นแล้วการดูถูกกันจะเกิดอย่างแพร่หลายการเปิดกว้างทางความคิดให้ถกเถียงกันในระบบการศึกษานั้นจะทำให้สังคมและการศึกษาจะเดินไปอย่างที่เป็นประโยชน์แก่คนทั้งสองช่วงวัยมิฉะนั้นการบีบบังคับหรือการแตกหักอย่างรุนแรงย่อมเกิดขึ้น คุณสุภา  ศิริมานนท์นักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้อ่อนน้อมถ่อมตน กล่าวไว้ว่า
คนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่
ถ้าหากมีสิ่งใดซึ่งคิดว่าผมพอจะมีปัญญาให้ข้อหารือได้ผมจะเป็นผู้เขียนจดหมายมาในแต่ละปัญหาแต่ละกรณีนั้นๆเพื่อเป็นทางแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดกันผมเองก็ยังต้องการเรียนรู้อีกมากมายและผมถือเสมอว่าคนรุ่นใหม่จะต้องดีกว่าคนรุ่นเก่าเสมอสมควรที่คนรุ่นเก่าจะต้องคอยประคบประหงมกล่อมเกลาคนรุ่นใหม่ไว้เพื่อที่คนรุ่นเก่าให้ความนับถือได้ในฐานะที่คนรุ่นใหม่จะต้องเป็นผู้นำในรุ่นต่อๆไปสืบสายโดยไม่สิ้นสุดความยุ่งยากวุ่นวายที่เกิดขึ้นเนืองๆในยุคสมัยนี้มันก็เนื่องมาแต่เงื่อนไขนี้นี่เอง…….คือคนรุ่นเก่ามักจะถือดีอวดวิเศษด้วยประการต่างๆไม่รับฟังความคิดและสถานะของคนรุ่นใหม่ซึ่งเขาอยู่ในยุคสมัยที่สิ่งต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากแล้ว
ความคิดความอ่านโดยสังเขปของข้าพเจ้านี้จะเป็นประจักษ์พยานในเจตนาบริสุทธิ์และการเดินตามอุดมคติได้หรือไม่ซึ่งจะเห็นว่าบ้าก็ย่อมได้ ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ได้และไฟแห่งอุดมคติก็อาจจะดับลงเมื่อไหร่ก็ยังได้(นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง)ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นฮีโร่หรือวีรบุรุษซึ่งข้าพเจ้าเป็นไม่ได้อย่างแน่นอนข้าพเจ้าเป็นเยาวชนคนหนึ่งในเหล่าเยาวชนในประเทศไทยและทั่วโลกจำนวนหลายหมื่นแสนล้านผู้ต้องการท้าทายและเปลี่ยนแปลงสังคมของเราให้ดีขึ้น ขอให้ทุกคนกล้าหาญและใช้เหตุผลวิจารณญาณข้าพเจ้าขอถือตนเป็นเพียงอิฐก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าและขอให้ทุกคนมาร่วมกันเดินทางไปด้วยสติปัญญาบนความไม่ประมาท
*บทความนี้อันเนื่องมาจากเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ครูที่โรงเรียนของข้าพเจ้าท่านหนึ่งเรียกข้าพเจ้าไปคุยและต้องการทราบความคิดความอ่าน ให้ข้าพเจ้าเขียนมา ข้าพเจ้าก็เขียนมาให้และสำหรับตีพิมพ์ลงนิตยสารมาจอยของพวกเราในโรงเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น