วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

MY BOOKS

เล่มล่าสุด "นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี"
นักเรียนเลวในระบบการศึกษาแสนดี
หนังสือเล่มสุดท้ายในวัยมัธยมของเนติวิทย์; นักเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียน "อันตราย" ในโรงเรียนของเขาและในสังคมทั่วไป ความรู้สึกของเขา ประเมินค่าบทเรียนจากการต่อสู้ในโรงเรียนที่เขาเข้าร่วม และข้อคิดเห็นของเขาต่อสถานการณ์ในสังคมและระบบการศึกษาไทยประจักษ์ ก้องกีรติ บรรยายถึงหนังสือเล่มนี้ในคำนิยมว่า
"...มันเป็นหนังสือที่จัดประเภทได้ยากเอาการ มันไม่ใช่หนังสือรวมบทความตามขนบ ไม่ใช่สมุดบันทึกไดอารี่ และมันก็ไม่ใช่อัตชีวประวัติ มันเป็นอะไรหลายๆ อย่างผสมกันอยู่ในนั้น คือ มีทั้งบันทึกประจำวันว่าด้วยห้วงคำนึงต่างๆ ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สะท้อนความรู้สึกของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ณ ช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิต..."
ผู้แต่ง : เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
บรรณาธิการ: อ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์
คำนิยม: นิธิ เอียวศรีวงศ์ และประจักษ์ ก้องกีรติ
ราคา (หน้าปก) : 250 บาท
จำนวนหน้า : 312 หน้า

คำโปรย

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาจารย์ครุฯ จุฬาฯ ยอมขอโทษ หลังเหยียดหน้าตาเนติวิทย์ นิสิตคณะรัฐศาสตร์

วันที่: 15 มิ.ย. 59 เวลา: 14:42 น.
ภายหลังจากมีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งปรากฎชื่อเจ้าของบัญชีคือ ดร.เปรม สวนสมุทร อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 59 ได้ปรากฎโพสต์ข้อความในบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว โดยมีการกล่าวถึง นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หรือ แฟรงค์ กรณีแอดมิชชั่นติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งระบุข้อความว่า “เรื่องการเมืองและการเคลื่อนไหวไม่ Comment แต่หน้าตาของพี่แกนี่มันจิทำให้อัตลักษณ์ของชาวจุฬาฯ เป็นที่เคลือบแคลงต่อสาธารณชน ขอเรียกร้องให้เพิ่มช่อง “หน้าตาแสดงอัตลักษณ์ของชาวจุฬาฯ” เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนสัมภาษณ์ ด้วยน้ำหนักคะแนน50% ดีนะไม่มาครุ (ครุศาสตร์) ไม่งั้นคณะหมอง”
จนเกิดกระแสวิจารณ์เป็นอย่างมาก ก่อนที่เจ้าของเฟสบุ๊กจะปิดเฟสบุ๊กไป นั้น

วันนี้ (15 มิ.ย.) ดร.เปรม ได้โพสต์เฟสบุ๊ก Pram Sounsamut ขอโทษต่อเหตุการร์ที่เกิดขึ้น ระบุว่า
เรียนทุกท่าน กระผมได้ทบทวนการแสดงความคิดเห็นบน Facebook ส่วนตัว เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559 แล้ว ตระหนักได้ว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อหลายบุคคลหลายฝ่าย กระผมจึงต้องขออภัยเป็นอย่างสูงต่อการแสดงความคิดเห็นดังกล่าว


                      

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สัมภาษณ์: ‘เนติวิทย์’ ว่าที่นิสิตหัวก้าวหน้า ในมหาวิทยาลัยอนุรักษ์นิยม

ค้นหาคำตอบทุกข้อสงสัย ทำไม ‘เนติวิทย์’ นักเรียนหัวก้าวหน้าเลือกรัฐศาสตร์ จุฬาฯ  เผยมีแผนก่อตั้งองค์กรในรั้วมหาวิทยาลัย สารภาพจงใจล่อเป้าโปรโมตหนังสือ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนจากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจของตน ว่าไม่ได้เข้าศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างที่หวังเอาไว้ จนทำให้เกิดการเยาะเย้ยถากถางจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบเนติวิทย์อย่างมากบนสังคมออนไลน์ แต่ในเวลาต่อมาเนติวิทย์ได้ออกมาบอกว่าตนแอดมิชชันติดภาคปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแทน
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมเนติวิทย์ถึงเลือกเข้าจุฬาฯ ที่มีภาพลักษณ์อนุรักษ์นิยม แทนธรรมศาสตร์ที่มีภาพลักษณ์เสรีนิยมมากกว่า เขาตั้งใจจะทำอะไร และการกระทำของเขาคือการจงใจล่อเป้าหรือไม่ บทสนทนาต่อไปนี้จะตอบในคำถามที่หลายคนสงสัย   
ดีใจไหมที่ติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
เนติวิทย์: ดีใจเหมือนกันครับที่ได้ติดมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก รู้เรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว เพราะว่าคะแนนแกทหรือคะแนนอะไรอย่างอื่นมันออกมานานแล้ว ก็เลยรู้มาสองสามเดือนแล้วด้วยซ้ำไปว่ามีโอกาสติดประมาน 70-80 เปอร์เซ็นต์
คนบางส่วนเขาสงสัยว่าทำไมถึงไม่ได้เข้าคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ คุณเลือกอันดับอย่างไร
ผมเลือกตามความสนใจของผม ผมอยากจะเข้าเรียนเพื่อไปหาสังคมใหม่ๆ ก็เลยเลือกอันดับแรกเป็น รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ภาคปกครอง จากนั้นรองมาเป็นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ภาคสังคมวิทยา แล้วอันดับสามเป็นคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พออันดับสี่ก็เป็นรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่ยื่นอันดับที่สี่เพราะไม่ได้อยากจะเรียนธรรมศาสตร์ คือผมไปสอบรับตรงมา ถ้าเห็นที่ผมโพสต์ ผมเขียนว่าผมสอบไม่ติดและบอกว่าไม่มีโอกาสเข้าธรรมศาสตร์ ไอ้สอบไม่ติดก็คือความจริงเพราะผมสอบไม่ติดรับตรงธรรมศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้ประกาศผลมานานแล้ว แล้วที่บอกว่าไม่มีโอกาส ก็ผมเลือกธรรมศาสตร์ไว้อันดับสี่ ผมเลยไม่มีโอกาสได้เข้า
ทำไมถึงเลือกรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นอันดับหนึ่ง แทนที่จะเป็นรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
มันมีหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งคือผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่รังสิตเท่าไร มันร้อนมาก แล้วผมคิดว่ามันเคลื่อนไหวยากเพราะมันไกล อีกอย่างคือผมรู้จักนักกิจกรรมที่ธรรมศาสตร์เยอะพอควร ผมเลยเบื่อแล้วบรรยากาศแบบนี้ เข้าไปมันคงไม่ได้สนุกเต็มที่สำหรับเรา ผมอยากเห็นคนที่มีความคิดหลากหลาย ความคิดอนุรักษ์นิยม เสรีนิยมอะไรก็ได้ อยากเห็นหลายๆ แนวคิดบ้าง เพราะเราเห็นแนวคิดเสรีนิยมเยอะแล้ว ก็อยากลองเห็นความคิดของจุฬาฯ บ้างว่าเป็นยังไง
ได้ยินว่าคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ไม่ได้เป็นคณะอนุรักษ์นิยมอะไรซะขนาดนั้น ก็อยากจะเข้าไปแสวงหาความรู้ คือเมืองไทยเรายังติดชื่อเสียงมหาวิทยาลัยอยู่ มันก็เป็นโอกาสเราเหมือนกัน ที่ผมเลือกเข้าที่นี่เพราะว่าการทำกิจกรรมมันน่าจะง่ายขึ้น ชื่อจุฬาฯ มันอาจดึงดูดคนได้มากขึ้น ผมเลยลองดูแล้วกัน แต่ไม่ได้หมายถึงผมยึดติดสถาบัน ผมไม่ต้องการอยู่ประเทศไทย แต่ผมไม่มีตัวเลือกตอนนี้ แล้วอีกอย่างห้องสมุด [ห้องสมุดสันติประชาธรรม] ของผมนี้ ผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นบรรณารักษ์ ถ้าผมไปอยู่รังสิต ผมอาจจะไม่ได้ทำงานดูแลที่นี่ต่อ ก็เลยเลือกจุฬาฯ มันอยู่ใกล้ แล้วก็เคลื่อนไหวง่ายขึ้นเพราะเรามีสถานที่เอง ฟังเสวนาก็ไปไม่ลำบาก เพราะว่าเสวนาส่วนใหญ่ก็จัดที่ท่าพระจันทร์ หรือจุฬาฯ ฉะนั้นถ้าอยู่รังสิตก็ไกลไป

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Outrage: บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร AC ECHO

เราใช้เวลาทำใจอยู่หลายนาน กว่าจะกล้าตัดสินใจติดต่อขอสัมภาษณ์ “เด็ก” คนนี้ เด็กก้าวร้าวที่ทำให้ผู้ใหญ่เกิดอาการอยากถีบยอดหน้าได้มากที่สุดแห่งยุค “เนติวิทย์” ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่โดดเรียน และไม่มีเรื่องชกต่อย แต่”ความคิด” ที่ไม่รู้ว่า “ก้าวร้าว” หรือ “ก้าวล้ำ” ของเขานั้น ได้กระทำสิ่งที่ “แสบ” กว่าเด็กแสบๆทั่วไปทำกันมาก คือเขาได้ตั้งคำถามเสียงดัง ที่สั่นคลอนจุดยืนที่คนรุ่นก่อนหน้าเชื่อว่าเขายืนกันมาช้านาน ผ่านสื่อออนไลน์และรายการทีวีวิทยุอย่างการบอกให้ยกเลิกผมทรงเรียน ยกเลิกการใส่ชุดนักเรียน ก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนฯ เพื่อต่อสู้กับกฎระเบียบที่เขาเชื่อว่าไร้เหตุผล ใครเล่าจะตัดสินได้ว่าความคิดการกระทำที่ก้าวร้าวของเขาเป็นเรื่องก้าวล้ำ หรือเป็นแค่ความเกรียนธรรมดาจากเด็กเรียกร้องความสนใจทั่วไปหลายคนรู้จักเนติวิทย์แค่จากสื่อ AC Echo จึงอยากนำ “เด็กเกรียน” คนนี้มาสัมภาษณ์ให้ได้อ่านกัน แล้วหลังจากนั้น คำพูดของเนติวิทย์จะตัดสินตัวเขาเอง
เนติวิทย์กับกลุ่มที่มาเจอกันวันนี้ เรียกกลุ่มอะไรครับ?
กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท มันเป็นกลุ่มที่หลังจากที่ผมออกจากสมาพันธ์นักเรียน เนื่องจากผมมีปัญหากับสมาพันธ์นักเรียน แล้วผมก็เป็นผู้ก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนด้วย แต่ว่าผมก็ถูกไล่ออกมา ผมก็เลยมาตั้งกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท โดยจะเน้นเรื่องความ Creative มากขึ้น คือตอนทำสมาพันธ์นักเรียนเนี่ย องค์กรมันค่อนข้างตายตัว ไม่ยึดหยุ่น แต่กลุ่มของเราเนี่ยจะเน้นหลายด้าน ด้านการศึกษา ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม หลากหลายมุมมอง แต่จุดประสงค์หลักของเราคือการศึกษาไทยเนี่ยต้องไปเพื่อความเป็นไทไม่มี ย ยักษ์ คือเป็นไปเพื่อศักยภาพของมนุษย์ นำศักยภาพของนักเรียนเนี่ยสร้างสรรค์สังคมออกมา ซึ่งการศึกษาของเราปัจจุบันเนี่ยเป็นการศึกษาที่พันธนาการเป็นการศึกษาเพื่อความเป็นทาส ไม่ใช่การศึกษาเพื่อความเป็นไท

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำสารภาพของนักเรียนผู้มีทัศนะอันรุนแรง



ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนคนหนึ่งซึ่งหลายคนไม่ชอบหน้า หมั่นไส้รังเกียจและเห็นว่าขวางโลก การกล่าวเช่นนี้คงไม่เกินเลยความจริงไปเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดอ่านเขียนไม่ตรงกับที่กระแสสังคมยอมรับนี่ก็อาจรวมไปถึงกริยามารยาทของข้าพเจ้าด้วยต้องยอมรับในเรื่องนี้ว่าข้าพเจ้ามีปัญหาคือเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจะดัดจริตก็ได้ไม่นานเวลาพูดก็พูดเหมือนอยู่ที่บ้านและที่ไหนๆแต่ข้าพเจ้าก็คงจะต้องยอมเปลี่ยนหรือเพิ่มความสุภาพให้มากขึ้นกระมังหาไม่แล้วผลลัพธ์ในทางดีจะมีไม่มากและหนังสือพิมพ์อย่างที่อ.ป๋วยว่าสื่อมวลสัตว์ ไม่ใช่ สื่อมวลชน ก็คงไปพาดหัวและตัดต่อคลิปมาอย่างสั้นๆอีกข้าพเจ้าเป็นนักเรียนผู้ได้รับฉายานักเรียนผู้มีทัศนคติอันรุนแรงและอันตรายมาแต่มัธยมปีที่สองแล้วซึ่งจริงๆข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ได้อันตรายอะไรเลยแต่ในสังคมไทยจะมองอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ที่ข้าพเจ้ามาเป็นเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากการที่ได้อ่านหนังสือได้ศึกษาความคิดอีกด้านมุมหนึ่งของสังคมกระแสหลักข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องเสรีภาพทางความคิดและที่ข้าพเจ้ากระทำไปในโรงเรียนนั้นไม่มีทางที่จะมีผลดีแต่อย่างเดียวหากย่อมต้องมีผลเสียเป็นธรรมดาอยู่ที่ท่านจะพิจารณาส่วนไหนวัดตวงกันอย่างไรข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างสูงว่า

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติศาสตร์ที่อยากอธิบาย"

ปลายเดือนนี้ ผมจะออกหนังสือใหม่อีกเล่ม
ชื่อ "ประวัติศาสตร์ที่อยากอธิบาย"
ยังไม่มีทุนพิมพ์ใดๆ จะพิมพ์เท่าที่มีผู้สนใจ
ท่านใดสนใจสามารถสนับสนุนได้ตามกำลัง และขอค่าจัดส่ง50บาท ติดต่อทางข้อความเพจ
ประสบการณ์การทำหนังสือเล่มเล็กและการต่อสู้ในโรงเรียน
ซึ่งเรื่องครั้งนั้นทำให้ผมกลายเป็นบุคคลที่โรงเรียนมองเป็นภัยตั้งแต่นั้นมา
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
หนังสือเล่มนี้ขนาด A5 มีประมาณ 96 หน้าเป็นอย่างต่ำ
ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ อาสาเป็นบรรณาธิการหนังสือให้
คำนิยมโดย กษิดิศ อนันทนาธร เพื่อนร่วมงานและบก.ปาจารยสาร
ทุนที่ได้จากการขายหนังสือเล่มนี้ สมทบทุนทำห้องสมุดสันติประชาธรรม
และโครงการอื่นๆของผม ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข้อคิดเห็นต่อพิธีกรรมไหว้ครู รวมถึงเหตุผลที่ข้าพเจ้าไม่เข้าร่วมพิธีกรรมไหว้ครู


1. การไหว้ครูแต่เดิมนั้น เราถือว่าท่านเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ด้วยความทุ่มเทอุตสาหะ และบางท่านก็ให้อย่างเปล่าคือวิทยาทาน
ครูตอนนี้อุทิศทุ่มเทตัวให้กับลูกศิษย์มากแค่ไหน ปัจจุบันครูต้องทำผลงานเพื่อเลื่อนขั้นวิทยฐานะ โครงการสร้างภาพต่างๆ (เช่นโรงเรียนพระราชทาน โรงเรียนพอเพียง) เพื่อให้โรงเรียนได้รับงบประมาณ มากกว่าการสอนนักเรียนเสียอีก อาจกล่าวได้ว่าครูทุกวันนี้ไม่ได้อุทิศทุ่มเทตัวให้กับลูกศิษย์มากเท่าที่ทุ่มเทให้ ชื่อเสียงเกียรติยศ ภาพลักษณ์โรงเรียน หรือ ตำแหน่งทางวิชาการ ทุกวันนี้ครูสอนนักเรียนแบบ ใครเรียนได้ก็เรียน ใครไม่สามารถเรียนก็ปล่อยให้ผ่านๆไป หากให้นักเรียนสอบตกจะมีผลกับการประเมินครู ซึ่งมีผลต่ออนาคตของครูคนนั้น
ครูตอนนี้ต่างอะไรจากกวดวิชา ในเมื่อครูก็ทำแค่กวดวิชา ส่วนลูกศิษย์ก็เข้าไปเรียนเพราะเพื่อสอบ แม้กระทั่งการสอบ O-NET ยังต้องติว แล้วอะไรคือสิ่งที่นักเรียนจะได้รับจากครู
แล้วแบบนี้จะต้องมีการไหว้ครูไปทำไม?
2. การที่ครูได้รับการคารวะ ควรจะมาจากการที่ลูกศิษย์เห็นว่าครูคนนี้สอนดี ทุ่มเทใจรักเขาจึงมาคารวะ ไม่ใช่การบังคับให้คารวะ
ส่วนการหมอบคลานนั้นยกเลิกไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว การหมอบคลานนั้นแสดงถึงการแบ่งวรรณะชนชั้นอย่างชัดเจนว่า คนที่หมอบนั้นอยู่ต่ำกว่า ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนในปัจจุบันไม่ได้มีการแบ่งวรรณะชนชั้นอย่างนั้นเลย ครูที่เป็นครูที่แท้จริง (ที่จะไม่ได้ยึดติดเรื่องอำนาจ สถานะที่เหนือกว่า) เค้าไม่ได้สนใจหรอกว่านักเรียนต้องมาหมอบคลานกราบไหว้ตัวเองเพื่อแสดงความเคารพ เพียงแต่นักเรียนเจอหน้ายกมือไหว้ นักเรียนตั้งใจเรียนในห้อง ไม่พูดคุยกันเสียงดัง ส่งงานให้ครบ ตรงต่อเวลา แค่นี้ก็เป็นการเคารพครูอย่างยิ่งยวดแล้ว ประเพณีกราบไหว้หมอบคลานมีเอาไว้เพื่อสร้างภาพ เพื่อแสดงอำนาจ มากกว่าการให้ความเคารพจริงๆเสียอีก
ถามตัวเราเองเถิดว่า เวลาเราไหว้พ่อแม่ เราต้องหมอบคลานแบบไหว้ครูหรือไม่ ถ้าไม่แล้วทำไมถึงต้องหมอบคลานตอนไหว้ครูด้วย
3. ครูเองก็อยู่ในฐานะมนุษย์ และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมที่จะมีการผิดพลาด (ครูได้เคยคิดหรือไม่ การที่ครูชอบอ้างบ่อยๆว่าตนสอนนักเรียนคนนั้นคนนี้จนได้ดี ก็ยังมีอีกหลายคนที่เกลียดโรงเรียน และไม่ชอบวิชาความรู้ไปตลอดทั้งชีวิตเพราะมาจากครูเช่นกัน) การมาสร้างครูให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพิธีกรรมต่างๆนั้นยังสมควรต่อไปหรือไม่ ทำไมไม่ให้วันครู เป็นวันที่ครูจะสัญญาว่า ครูจะทำหน้าที่ให้ดีที่ สุด ครูก็เป็นมนุษย์เสมอนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกัน เติบโตไปพร้อมกัน ฟังเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์แล้วปรับปรุง
วันไหว้ครูปีนี้ ผมไม่มาโรงเรียน ที่ไม่มาไม่ใช่ไม่รักครู แต่ผมมีเหตุผล
การที่ผมรักใครคนหนึ่ง ไม่ต้องไปหมอบคลาน เราหยอกล้อพูดคุยกันสนุกๆกันได้ตรงไปตรงมา
ครูกับนักเรียนเป็นเสมือนมนุษย์ที่มีผิดมีถูกเรียนรู้ไปด้วยกัน แต่พิธีกรรมดังกล่าวทำลายความสัมพันธ์ของคนสองคนให้ยกอีกคนสูงกว่าอีกคน (ทั้งยังบังคับด้วย) ผมไม่เคยเห็นพิธีกรรมไหว้ครูที่ครูขอโทษนักเรียนว่าตนได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง และขอให้นักเรียนให้อภัย หรือเป็นการเปิดใจครูต่อนักเรียน ไม่มีที่พิธีกรรมดังกล่าวจะสร้างความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
เราต้องการรักแบบกลัวๆ รักแบบสยบยอมหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ทำ ผมรักครูได้โดยที่ผมเท่ากับครู เรียนรู้แบบคนเสมอกัน
คุรุชนบางคนอ่านบทความนี้แล้วอาจหาว่าผมไม่รักครูก็ขอให้รู้ว่า "ความรักเราไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ เรารักโดยที่เรารักมิใช่หรือ"
แล้วถ้าอ้างประเพณีก็ขอให้รู้ว่า "ประเพณีตั้งอยู่บนความสัมพันธ์อันไม่เท่าเทียม และในเมื่อมนุษย์เป็นคนสร้างประเพณี ใยจะดัดแปลงและเปลี่ยนมันไม่ได้"